สื่ออินเตอร์ฯหลายเจ้าพากันรายงานว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้เตือนนายกรัฐมนตรีหญิง ซานาเอะ ทาคาอิจิ แห่งญี่ปุ่น ให้หลีกเลี่ยงการยกระดับข้อพิพาทกับจีน ระหว่างที่เขายกหูโทรศัพท์พูดคุยกับเธอตอนต้นสัปดาห์นี้ ในขณะที่ตัวทรัมป์เองมุ่งมั่นที่จะรักษาการสงบศึกทางการค้าที่เปราะบางกับปักกิ่งเอาไว้ ทางด้านหัวหน้าโฆษกรัฐบาลแดนอาทิตย์อุทัยออกมาปฏิเสธในวันพฤหัสบดี (27 พ.ย.) ว่า ข่าวนี้ไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่แจกแจงรายละเอียด
ทาคาอิจิ ได้จุดชนวนข้อพิพาททางการทูตครั้งใหญ่ที่สุดกับปักกิ่งในรอบหลายปี จากการที่เธอได้แสดงความเห็นที่สภาล่างญี่ปุ่นตอนกลางเดือนนี้ว่า โดยยกตัวอย่างสมมุติว่าการโจมตีไต้หวันของจีน สามารถกระตุ้นให้ญี่ปุ่นใช้ปฏิบัติการตอบโต้ทางทหาร ปรากฏว่าคำพูดนี้ของเธอทำให้ปักกิ่งโกรธเกรี้ยวอย่างหนัก สืบเนื่องจากจีนถือว่าไต้หวันเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตน ดังนั้นจึงเท่ากับเป็นการแทรกแซงละเมิดอธิปไตยของแดนมังกร นอกจากนั้น พวกนักวิเคราะห์ชี้ว่าคำพูดนี้ของทาคาอิจิ ไปไกลยิ่งกว่าผู้นำญี่ปุ่นคนอื่นๆ ในอดีต ซึ่งต่างทำตามนโยบายใช้ท่าทีกำกวมคลุมเครือ ไม่กล่าวอย่างชัดเจนขนาดนี้
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานในวันพฤหัสบดี (27) โดยอ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวรัฐบาลญี่ปุ่น 2 คนซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อ เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ว่า ระหว่างที่ ทรัมป์ พูดคุยทางโทรศัพท์กับ ทาคาอิจิ เมื่อวันอังคาร (25) ผู้นำสหรัฐฯบอกว่าเขาไม่ต้องการให้สถานการณ์ตึงเครียดมากไปกว่านี้
แหล่งข่าวยังชี้ด้วยว่า ทรัมป์ ไม่ได้เรียกร้องอะไรเป็นพิเศษจาก ทาคาอิจิ ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่าเขาไม่ได้เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของปักกิ่งที่ต้องการให้นายกฯ ญี่ปุ่นถอนคำพูด
ผู้นำญี่ปุ่นเองก็ยังไม่ได้ประกาศถอนคำพูดแต่อย่างใด โดยรัฐบาลของเธออ้างว่าคำพูดดังกล่าวสะท้อนนโยบายที่ญี่ปุ่นมีมายาวนานอยู่แล้ว ถึงแม้เธอลั่นปากว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ในที่สาธารณะอีก
ก่อนหน้ารอยเตอร์ ทางหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) เป็นสื่ออินเตอร์ฯเจ้าแรกที่รายงานข่าวเรื่องนี้ โดยระบุในวันพฤหัสฯ (27)ว่า “ทรัมป์ติดต่อคุยโทรศัพท์กับทาคาอิจิ (ในวันอังคาร) และแนะนำเธอว่าอย่าไปยั่วยุปักกิ่งในเรื่องคำถามเกี่ยวกับอธิปไตยของเกาะ (ไต้หวัน)” โดยที่ WSJ อ้างอิงว่าเป็นการบอกเล่าของพวกเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นที่ไม่ขอระบุชื่อ และชาวอเมริกันอีกผู้หนึ่งซึ่งได้รับฟังการบรรยายสรุปเรื่องที่ทรัมป์คุยกับนายกฯญี่ปุ่นครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ทางด้าน มิโนรุ คิฮาระ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหัวหน้าโฆษกรัฐบาลโดยตำแหน่ง ได้แถลงในวันพฤหัสฯเช่นกัน ปฏิเสธรายงานของ WSJ
“รายงานข่าวนี้มีย่อหน้าหนึ่งที่กล่าวว่า เกี่ยวกับคำถามเรื่องอธิปไตยของไต้หวัน (ทรัมป์) แนะนำเธอว่าอย่ายั่วยุรัฐบาลจีน ข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย” คิฮาระ กล่าวในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนตามปกติ แต่ไม่แจกรายละเอียดมากกว่านี้ โดยบอกว่าไม่ต้องการให้ความเห็นเกี่ยวกับรายละเอียดของ “การสนทนาแลกเปลี่ยนกันในทางการทูต”
ทางด้านรอยเตอร์ยังรายงานด้วยว่า เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นบางคนมีความกังวลมานานแล้วว่า ทรัมป์ อาจเตรียมที่จะลดการสนับสนุนไต้หวันลงเพื่อจะได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับจีน ถึงแม้เรื่องนี้อาจทำให้ปักกิ่งฮึกเหิม และก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในเอเชียตะวันออก
“สำหรับทรัมป์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน” คาซูฮิโระ มาเอะจิมะ ศาสตราจารย์ด้านการเมืองสหรัฐฯ แห่งมหาวิทยาลัยโซเฟีย ในญี่ปุ่น กล่าว “ญี่ปุ่นถูกมองเป็นเพียงเครื่องมือหรือไพ่ใบหนึ่งในการจัดการความสัมพันธ์นี้มาโดยตลอด”
การคุยโทรศัพท์ระหว่าง ทรัมป์ กับ ทาคาอิจิ ครั้งนี้ เกิดขึ้นแทบจะทันทีหลังจากที่ ทรัมป์ สนทนากับ สี จิ้นผิง ซึ่งประธานาธิบดีจีนกล่าวว่า “การกลับคืนสู่จีน” ของไต้หวันเป็นส่วนสำคัญในวิสัยทัศน์ของปักกิ่งต่อระเบียบโลก ทั้งนี้ตามรายงานของสำนักข่าวซินหัว ของทางการแดนมังกร
หลังจาก ทรัมป์ คุยโทรศัพท์กับ สี แล้ว ผู้นำสหรัฐฯโพสต์ข้อความทางสื่อสังคมรายงานเรื่องการหารือนี้ โดยเน้นย้ำว่าสองประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกมีความสัมพันธ์ที่ "แข็งแกร่งอย่างยิ่ง" และกำลังดำเนินการเพื่อสรุปข้อตกลงการค้าที่ครอบคลุม ทว่าเขาไม่ได้พูดถึงประเด็นไต้หวันเลย ขณะที่ตามรายงานของซินหัวเห็นชัดว่า สี ถือหัวข้อนี้คือเรื่องสำคัญที่สุดในการพูดจากับ ทรัมป์ ครั้งนี้
รอยเตอร์บอกว่า ได้ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมจากทางสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์ก็กล่าวในคำแถลงฉบับหนึ่งที่ออกโดยทำเนียบขาวว่า "ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับจีนนั้นดีมาก และนั่นก็เป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพันธมิตรที่รักและใกล้ชิดของเรา"
"เราได้ลงนามข้อตกลงการค้าที่ยอดเยี่ยมกับญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ และประเทศอื่นๆ อีกมากมาย และโลกก็สงบสุข ขอให้เรารักษาไว้เช่นนี้ต่อไป!" เขากล่าว
รอยเตอร์ย้ำว่า การที่ ทรัมป์ นิ่งเฉยต่อข้อพิพาทระหว่างญี่ปุ่นกับจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น ยิ่งทำให้บรรดาเจ้าหน้าที่ในโตเกียวกังวลมากขึ้น โดยที่มีสมาชิกรัฐสภาระดับอาวุโส 2 คนของพรรครัฐบาลญี่ปุ่นบอกกับสำนักข่าวแห่งนี้ว่า พวกเขาเคยหวังว่าจะได้รับความสนับสนุนอย่างเต็มปากเต็มใจมากกว่านี้จากพันธมิตรด้านความมั่นคงระดับท็อปของพวกเขารายนี้
“เราปรารถนาที่จะได้เห็นคำพูดออกมาจากตัวทรัมป์เอง” 1 ในสมาชิกรัฐสภาญี่ปุ่นที่รอยเตอร์อ้างอิงกล่าว โดยขอให้สงวนนาม และพูดต่อไปว่า การที่ทรัมป์เงียบไม่พูดเรื่องนี้ในที่สาธารณะ อาจถูกมองว่าคือการเปิดไฟเขียวให้ปักกิ่งออกแรงกดดันญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ ในวันพฤหัสฯ หนังสือพิมพ์เหรินหมินรึเป้า (พีเพิลส์เดลี) ปากเสียงอย่างเป็นทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ระบุในบทบรรณาธิการว่า จีนเรียกร้องให้สหรัฐฯ ควบคุมญี่ปุ่นเพื่อป้องกัน "การฟื้นฟูลัทธิทหาร" อันเป็นการอ้างอิงถึงบทบาทของญี่ปุ่นที่เคยเป็นศัตรูร่วมของจีนกับสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
“จีนและสหรัฐฯ มีความรับผิดชอบร่วมในการที่จะปกป้องระเบียบระหว่างประเทศหลังสงคราม และต่อต้านความพยายามหรือการกระทำใดๆ ที่จะฟื้นฟูลัทธิทหาร” บทบรรณาธิการนี้ระบุ
(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี/MGRออนไลน์)


