xs
xsm
sm
md
lg

ปักกิ่งหยิบยืมวิธีการที่วอชิงตันใช้อยู่ก่อนนานแล้ว มาตีโต้สหรัฐฯในสงครามการค้าที่ทำท่าบานปลายไปเรื่อยๆ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สำนักข่าวเอพี


ตัวอย่างของสินแร่บาสต์เนไซต์ (bastnaesite) ซึ่งเป็นแร่ที่ใช้ในอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธเพื่อถลุงเอาธาตุแรร์เอิร์ธ อย่างเช่น ซีเรียม (cerium), แลนทานัม (lanthanum), และ นีโอดิเมียม (neodymium) ตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยาแห่งประเทศจีน ในกรุงปักกิ่ง  ในภาพนี้ของสำนักข่าวรอยเตอร์ ซึ่งถ่ายเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2025
To hit back at the United States in their trade war, China borrows from the US playbook
By DIDI TANG, Associated Press
20/10/2025

สำหรับใครก็ตามทีที่มีความคุ้นเคยกับการปฏิบัติทางการค้าของสหรัฐฯแล้ว สิ่งที่จีนทำในครั้งนี้ก็เป็นเพียงแค่การหยิบยืมนโยบายซึ่งสหรัฐฯใช้มาหลายทศวรรษแล้ว กฎระเบียบข้อนี้เองทำให้มีการใช้กฎหมายของสหรัฐฯไปบังคับเอากับพวกผลิตภัณฑ์ที่ทำในต่างประเทศได้ อีกทั้งมันก็ถูกใช้เรื่อยมาเป็นประจำในการจำกัดกีดกั้นจีนจากการเข้าถึงพวกเทคโนโลยีสหรัฐฯบางอย่างบางประเภทซึ่งจริงๆ แล้วทำขึ้นนอกสหรัฐฯ แม้กระทั่งในกรณีที่เทคโนโลยีเหล่านี้อยู่ในมือของพวกบริษัทต่างประเทศแล้วด้วยซ้ำ

วอชิงตัน - จีนชอบนักที่จะประณามสหรัฐฯว่า เที่ยวยืดแขนขาตัวเองออกไปนอกบ้านเพื่อก้าวก่ายแทรกแซงชาติอื่นๆ แม้กระทั่งพวกที่อยู่ห่างไกลโพ้นจากชายแดนของอเมริกา ด้วยการตั้งข้อเรียกร้องต่างๆ เอากับพวกที่ไม่ใช่บริษัทอเมริกันสักหน่อย อย่างไรก็ดี ในเดือนนี้เมื่อแดนมังกรเสาะแสวงหาวิธีตอบโต้กลับมาเล่นงานผลประโยชน์ของสหรัฐฯบ้าง ปรากฏว่าปักกิ่งก็ใช้วิธีการแบบเดียวกันเปี๊ยบเลย

ทั้งนี้ในกฎระเบียบควบคุมการส่งออกแรร์เอิร์ธฉบับใหม่ๆ ของจีน ซึ่งประกาศในวันที่ 9-10 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีการขยายเนื้อหาครอบคลุมกว้างขวางออกไปจากเดิมเหล่านี้ เป็นครั้งแรกที่ปักกิ่งกำหนดให้พวกกิจการต่างประเทศทั้งหลายต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลจีนก่อน จึงจะสามารถส่งออกพวกผลิตภัณฑ์แม่เหล็ก ที่บรรจุวัสดุแรร์เอิร์ธซึ่งมีต้นกำหนดจากจีนเอาไว้แม้กระทั่งปริมาณเล็กน้อย หรือที่ผลิตขึ้นโดยอาศัยเทคโนโลยีของจีน

เรื่องนี้หมายความว่า ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนสัญชาติเกาหลีใต้รายหนึ่ง ต้องขออนุญาตจากปักกิ่งเสียก่อนสำหรับการขายโทรศัพท์มือถือของตนไปยังออสเตรเลีย ถ้าสมาร์ตโฟนเหล่านี้บรรจุไว้ด้วยวัสดุแรร์เอิร์ธที่มีแหล่งกำเนิดจากจีน นี่เป็นคำอธิบายขยายความของ เจมิสัน กรีเออร์ (Jamieson Greer) ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (U.S. trade representative หรือ USTR) โดยที่เขายังตั้งข้อกล่าวหาต่อไปว่า “กฎระเบียบอย่างนี้โดยพื้นฐานแล้วคือทำให้จีนมีอำนาจควบคุมเหนือเศรษฐกิจโลกทั้งหมดในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีนี้”

สำหรับใครก็ตามทีที่มีความคุ้นเคยกับการปฏิบัติทางการค้าของสหรัฐฯแล้ว สิ่งที่จีนทำในครั้งนี้ก็เป็นเพียงแค่การหยิบยืมนโยบายซึ่งสหรัฐฯใช้มาหลายทศวรรษแล้ว นั่นคือ นโยบายที่เรียกกันว่า กฎระเบียบผลิตภัณฑ์โดยตรงต่างประเทศ (foreign direct product rule) กฎระเบียบข้อนี้ทำให้มีการใช้กฎหมายของสหรัฐฯไปบังคับเอากับพวกผลิตภัณฑ์ที่ทำในต่างประเทศได้ อีกทั้งมันก็ถูกใช้เรื่อยมาเป็นประจำในการจำกัดกีดกั้นจีนจากการเข้าถึงพวกเทคโนโลยีสหรัฐฯบางอย่างบางประเภทซึ่งจริงๆ แล้วทำขึ้นนอกสหรัฐฯ แม้กระทั่งในกรณีที่เทคโนโลยีเหล่านี้อยู่ในมือของพวกบริษัทต่างประเทศแล้วด้วยซ้ำ

เรื่องนี้จึงเป็นตัวอย่างล่าสุดของการที่ปักกิ่งกำลังหันกลับมาเอาแบบอย่างซึ่งสหรัฐฯทำเอาไว้ก่อนแล้ว เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับการจ้องตาเผชิญหน้ากับวอชิงตัน ในขณะที่สงครามการค้าระหว่างประเทศเจ้าของระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกทั้งสองราย กำลังทำท่าเหมือนกับบานปลายขยายตัวออกไปเรื่อยๆ

“จีนกำลังเรียนรู้จากคนที่ทำได้ดีที่สุด” นีล โธมัส (Neil Thomas) นักวิจัยที่ติดตามเรื่องการเมืองจีน อยู่ที่ ศูนย์เพื่อการวิเคราะห์จีน (Center for China Analysis) แห่งสถาบันนโยบายของสมาคมเอเชีย (Asia Society Policy Institute) ให้ความเห็น “ปักกิ่งกำลังก็อปปี้เอามาจากหนังสือคู่มือการเล่นของฝ่ายวอชิงตันเองเลย เพราะพวกเขาได้รับรู้จากการเจอกับตนเองว่าการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯนั้นมีประสิทธิภาพขนาดไหน ในการเหนี่ยวรั้งบีบคั้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจและทางเลือกต่างๆ ในทางการเมืองของจีนเอง”

“มือดีในการเล่มเกมมาเจอกัน ก็ต้องเกิดความนับถือกันและกัน” เขากล่าวต่อ

ไอเดียอย่างนี้สาวย้อนหลังไปได้อย่างน้อยถึงปี 2018

มันเป็นเมื่อปี 2018 นั่นแหละ ตอนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มเปิดฉากทำสงครามการค้ากับจีน ซึ่งทำให้ปักกิ่งรู้สึกว่าจำเป็นต้องเร่งรีบนำเอาพวกกฎหมายและนโยบายต่างๆ ชุดหนึ่งเข้าประยุกต์ใช้ จึงจะทำให้ตนเองสามารถมีความพรักพร้อมเมื่อการขัดแย้งทางการค้าครั้งใหม่ปะทุขึ้นมา และพวกเขาก็มองหาไอเดียเหล่านี้จากวอชิงตัน

บัญชีรายชื่อองค์การและบุคคลที่เชื่อถือไม่ได้ (Unreliable Entity List) ของจีน ซึ่งเริ่มจัดทำขึ้นโดยกระทรวงพาณิชย์จีนเมื่อปี 2020 มีความละม้ายเหมือนกับ “บัญชีรายชื่อองค์การและบุคคล” (entity list) ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ที่เป็นบัญชีดำเอาไว้จำกัดกีดกั้นพวกบริษัทต่างประเทศที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีนี้ จากการทำธุรกิจต่างๆ กับสหรัฐฯ

ในปี 2021 ปักกิ่งได้ออกกฎหมายแซงก์ชั่นพวกต่างชาติที่ไม่พึงประสงค์ (anti-foreign sanction law) มาบังคับใช้ ซึ่งมีเนื้อหาเปิดทางให้หน่วยงานต่างๆ เป็นต้นว่า กระทรวงการต่างประเทศจีน สามารถปฏิเสธการออกวีซ่าเข้าจีน ตลอดจนอายัดทรัพย์สินต่างๆ ของพวกบุคคลและธุรกิจซึ่งไม่เป็นที่ต้อนรับในประเทศจีน –เรื่องนี้ก็คล้ายๆ กับอำนาจที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และกระทรวงการคลังสหรัฐฯสามารถทำได้

“ไชน่านิวส์” (China News) สำนักข่าวแห่งหนึ่งของทางการจีน ได้เคยเผยแพร่รายงานข่าวชิ้นหนึ่งเมื่อปี 2021 ซึ่งเรียกมาตรการที่กำลังทยอยออกมาเหล่านี้ของแดนมังกรว่า เป็นชุดกล่องเครื่องมือสำหรับต่อสู้กับการที่ต่างประเทศใช้มาตรการแซงก์ชั่น, การแทรกแซง, และการอ้างเขตอำนาจแบบยื่นมือยาวเลยออกนอกเขตแดน เพื่อเล่นงานจีน พร้อมกันนี้รายงานข่าวชิ้นนี้ยังได้อ้างอิงคำสอนโบราณของจีนที่กล่าวว่า ปักกิ่งควรจะต้อง “เล่นงานกลับด้วยวิธีการต่างๆ ของข้าศึก”

กฎหมายและระเบียบใหม่ๆ เหล่านี้ “เป็นผลจากการศึกษาสำรวจพวกบทบัญญัติทางกฎหมายของต่างประเทศที่เกี่ยวข้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ รวมทั้งพิจารณาถึงหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักการพื้นฐานต่างๆ ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” นี่เป็นคำกล่าวของ หลี่ ชิงหมิง (Li Qingming) นักวิชาการชาวจีน ซึ่งรายงานข่าวชิ้นนี้อ้างอิงเอาไว้ เขากล่าวต่อไปด้วยว่า มาตรการเหล่านี้ยังสามารถใช้เป็นเครื่องป้องปรามไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งคิดลงมือทำให้สถานการณ์บานปลายขยายตัวอีกด้วย

มาตรการอย่างเป็นทางการประการอื่นๆ ที่ปักกิ่งได้นำเอามาใช้ในช่วงระยะเวลาหลายๆ ปีที่ผ่านมา ยังมี อาทิ มาตรการควบคุมการส่งออกที่มีเนื้อหาขยายครอบคลุมยิ่งขึ้นจากเดิม และพวกเครื่องมือสำหรับการพิจารณาทบทวนเพื่ออนุมัติการลงทุนของต่างประเทศ

ทางด้าน เจอเรมี ดอม (Jeremy Daum) นักวิชาการอาวุโสด้านการวิจัยเรื่องกฎหมาย และนักวิจัยอาวุโสของศูนย์จีนพอลไช่ (Paul Tsai China Center) แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล (Yale Law School) บอกว่า ปักกิ่งมักดึงเอาโมเดลจากต่างประเทศมาใช้อยู่บ่อยๆ ในการพัฒนากฎหมายของตนเองในด้านที่ไม่เกี่ยวกับการค้าและไม่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ และจากการที่จีนแสวงหาสมรรถนะในการตอบโต้อย่างสมน้ำสมเนื้อทางด้านการค้าและการแซงก์ชั่น ปรากฏว่าบ่อยครั้งทีเดียวเครื่องมือที่เอาออกมาใช้ “มีความคล้ายคลึงมาก” กับพวกที่สหรัฐฯใช้อยู่ก่อนแล้ว เขากล่าว

ทั้งรัฐบาลสหรัฐฯและรัฐบาลจีนยังต่างนำเอา “ทัศนะด้านความมั่นคงแห่งชาติแบบมองภาพรวม” (holistic view of national security) มาประยุกต์ใช้อีกด้วย เรื่องนี้ ดอม อธิบายว่ามันเป็นการขยายแนวความคิดเรื่องความมั่นคงแห่งชาติออกไป เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การจำกัดกีดกันอีกฝ่ายหนึ่ง

ปีนี้สิ่งต่างๆ เพิ่มความเข้มข้นขึ้นกว่าเดิมมาก

ตอนที่ทรัมป์เปิดฉากทำสงครามการค้ากับจีนของเขา เพียงไม่นานหลังหวนกลับคืนสู่ทำเนียบขาวอีกรอบหนึ่งเมื่อต้นปีนี้ นอกเหนือจากการเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรเรียกเก็บจากสินค้าเข้าสหรัฐฯ ขึ้นมาประชันขันแข่งกับอัตราที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯประกาศเพิ่มเอากับสินค้าเข้าจีนแล้ว ปักกิ่งก็อยู่ในสภาพมีเครื่องมือใหม่ๆ ของตนเตรียมพร้อมเอาไว้สำหรับการใช้งานอีกด้วย

ทั้งนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อตอบโต้กับการขึ้นภาษีศุลกากรรอบแรกในปีนี้ของทรัมป์ซึ่งอยู่ที่อัตรา 10% โดยอ้างข้อกล่าวหาว่าเนื่องจากปักกิ่งล้มเหลวไม่ยอมสกัดกั้นการไหลเวียนของพวกสารเคมีใช้ในการทำยาเสพติดเฟนตานิล (fentanyl) ซึ่งแพร่ระบาดมากในสหรัฐฯ กระทรวงพาณิชย์จีนก็ใส่ชื่อ พีวีเอชกรุ๊ป (PVH Group) ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่น เคลวิน ไคลน์ (Calvin Klein) และ ทอมมี ฮิลฟิเกอร์ (Tommy Hilfiger) รวมทั้งบริษัทเทคโนโลยี อิลลูมินา (Illumina) เอาไว้ในบัญชีรายชื่อองค์การและบุคคลที่เชื่อถือไม่ได้ ของตนบ้าง

การกระทำเช่นนี้คือการห้ามบริษัทเหล่านี้เข้ามีปฏิสัมพันธ์ในกิจกรรมการนำเข้าและการส่งออกที่เกี่ยวข้องกับจีน ตลอดจนห้ามพวกเขาทำการลงทุนใหม่ๆ ในแดนมังกร นอกจากนั้นปักกิ่งยังประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุ ทังสเตน (tungsten), เทลลูเรียม (tellurium), บิสมัท (bismuth), โมดิบดีนัม (molybdenum), และ อินเดียม (indium) ซึ่งต่างก็เป็นธาตุทรงความสำคัญอย่างยิ่งในการผลิตพวกผลิตภัณฑ์ไฮเทคสมัยใหม่

ในเดือนมีนาคม เมื่อทรัมป์บังคับขึ้นภาษีศุลกากรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเฟนตานิล ในอัตรา 10% เป็นครั้งที่สอง ปักกิ่งก็ใส่ชื่อกิจการสหรัฐฯอีก 10 แห่งเข้าไปในบัญชีรายชื่อองค์การและบุคคลที่เชื่อถือไม่ได้ของตน รวมทั้งเพิ่มชื่อบริษัทสหรัฐฯ 15 แห่งเข้าไปในบัญชีรายชื่อกิจการที่จีนต้องควบคุมการส่งออก โดยในนี้มีทั้งพวกบริษัทการบินและอวกาศ และบริษัทด้านกลาโหม อย่างเช่น เจนเนอรัล ไดนามิกส์ แลนด์ ซิสเทมส์ (General Dynamics Land Systems) และ เจนเนอรัล อะตอมมิกส์ แอโรนอทิคัล ซิสเทมส์ (General Atomics Aeronautical Systems) พร้อมกับยืนยันว่าบริษัทเหล่านี้ “มีอันตรายต่อความมั่นคงแห่งชาติและผลประโยชน์ของประเทศจีน”

จากนั้นก็มาถึงการประกาศขึ้นภาษีศุลกากรระลอกใหญ่กับประเทศต่างๆ ทั่วโลกในเดือนเมษายน ซึ่งทรัมป์เรียกว่าเป็น “วันปลดแอก” (Liberation Day) ปรากฏว่าปักกิ่งไม่เพียงตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรระดับทัดเทียมกับอัตราสูงลิบลิ่ว 125% ที่ทรัมป์บังคับเรียกเก็บเพิ่มจากจีนเท่านั้น แต่ยังใส่ชื่อบริษัทสหรัฐฯเพิ่มขึ้นอีกเอาไว้ในบัญชีดำ นอกจากนั้นก็ประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธเพิ่มเติม เรื่องหลังสุดนี้ได้นำไปสู่ภาวะชะงักงันในการขนส่งแม่เหล็กแรร์เอิร์ธซึ่งจำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตพวกผลิตภัณฑ์สมัยใหม่ต่างๆ อย่างกว้างขวาง เป็นต้นว่า สมาร์ตโฟน, รถยนต์ไฟฟ้า, เครื่องบินไอพ่น, และขีปนาวุธ

ขณะที่พวกเครื่องมือทางกฎหมายใหม่ๆ เหล่านี้ เปิดทางให้จีนสามารถจ้องตาเผชิญหน้ากับสหรัฐฯได้ แต่ ดอม ก็ชี้ว่า ใช่ว่ามันจะไม่ได้มีความเสี่ยงอะไรติดตามมาด้วย

“อันตรายของพวกวิธีการที่ภายนอกดูว่าเป็นวิธีการที่สมน้ำสมเนื้อและเป็นธรรมเช่นนี้ ก็คือว่า ประการแรก สิ่งที่ฝ่ายหนึ่งมองว่าเป็นการตอบโต้เอาคืนนั้น อีกฝ่ายหนึ่งอาจตีความว่าเป็นการเพิ่มปัญหาให้บานปลายขยายตัวก็ได้” เขากล่าว ส่วนประการที่สอง “ในการแข่งขันแบบดำดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ เช่นนี้ ไม่มีใครเป็นผู้ชนะหรอก” นักวิจัยผู้นี้เตือน
กำลังโหลดความคิดเห็น