To hit back at the United States in their trade war, China borrows from the US playbook
By DIDI TANG, Associated Press
20/10/2025
สำหรับใครก็ตามทีที่มีความคุ้นเคยกับการปฏิบัติทางการค้าของสหรัฐฯแล้ว สิ่งที่จีนทำในครั้งนี้ก็เป็นเพียงแค่การหยิบยืมนโยบายซึ่งสหรัฐฯใช้มาหลายทศวรรษแล้ว กฎระเบียบข้อนี้เองทำให้มีการใช้กฎหมายของสหรัฐฯไปบังคับเอากับพวกผลิตภัณฑ์ที่ทำในต่างประเทศได้ อีกทั้งมันก็ถูกใช้เรื่อยมาเป็นประจำในการจำกัดกีดกั้นจีนจากการเข้าถึงพวกเทคโนโลยีสหรัฐฯบางอย่างบางประเภทซึ่งจริงๆ แล้วทำขึ้นนอกสหรัฐฯ แม้กระทั่งในกรณีที่เทคโนโลยีเหล่านี้อยู่ในมือของพวกบริษัทต่างประเทศแล้วด้วยซ้ำ
วอชิงตัน - จีนชอบนักที่จะประณามสหรัฐฯว่า เที่ยวยืดแขนขาตัวเองออกไปนอกบ้านเพื่อก้าวก่ายแทรกแซงชาติอื่นๆ แม้กระทั่งพวกที่อยู่ห่างไกลโพ้นจากชายแดนของอเมริกา ด้วยการตั้งข้อเรียกร้องต่างๆ เอากับพวกที่ไม่ใช่บริษัทอเมริกันสักหน่อย อย่างไรก็ดี ในเดือนนี้เมื่อแดนมังกรเสาะแสวงหาวิธีตอบโต้กลับมาเล่นงานผลประโยชน์ของสหรัฐฯบ้าง ปรากฏว่าปักกิ่งก็ใช้วิธีการแบบเดียวกันเปี๊ยบเลย
ทั้งนี้ในกฎระเบียบควบคุมการส่งออกแรร์เอิร์ธฉบับใหม่ๆ ของจีน ซึ่งประกาศในวันที่ 9-10 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีการขยายเนื้อหาครอบคลุมกว้างขวางออกไปจากเดิมเหล่านี้ เป็นครั้งแรกที่ปักกิ่งกำหนดให้พวกกิจการต่างประเทศทั้งหลายต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลจีนก่อน จึงจะสามารถส่งออกพวกผลิตภัณฑ์แม่เหล็ก ที่บรรจุวัสดุแรร์เอิร์ธซึ่งมีต้นกำหนดจากจีนเอาไว้แม้กระทั่งปริมาณเล็กน้อย หรือที่ผลิตขึ้นโดยอาศัยเทคโนโลยีของจีน
เรื่องนี้หมายความว่า ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนสัญชาติเกาหลีใต้รายหนึ่ง ต้องขออนุญาตจากปักกิ่งเสียก่อนสำหรับการขายโทรศัพท์มือถือของตนไปยังออสเตรเลีย ถ้าสมาร์ตโฟนเหล่านี้บรรจุไว้ด้วยวัสดุแรร์เอิร์ธที่มีแหล่งกำเนิดจากจีน นี่เป็นคำอธิบายขยายความของ เจมิสัน กรีเออร์ (Jamieson Greer) ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (U.S. trade representative หรือ USTR) โดยที่เขายังตั้งข้อกล่าวหาต่อไปว่า “กฎระเบียบอย่างนี้โดยพื้นฐานแล้วคือทำให้จีนมีอำนาจควบคุมเหนือเศรษฐกิจโลกทั้งหมดในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีนี้”
สำหรับใครก็ตามทีที่มีความคุ้นเคยกับการปฏิบัติทางการค้าของสหรัฐฯแล้ว สิ่งที่จีนทำในครั้งนี้ก็เป็นเพียงแค่การหยิบยืมนโยบายซึ่งสหรัฐฯใช้มาหลายทศวรรษแล้ว นั่นคือ นโยบายที่เรียกกันว่า กฎระเบียบผลิตภัณฑ์โดยตรงต่างประเทศ (foreign direct product rule) กฎระเบียบข้อนี้ทำให้มีการใช้กฎหมายของสหรัฐฯไปบังคับเอากับพวกผลิตภัณฑ์ที่ทำในต่างประเทศได้ อีกทั้งมันก็ถูกใช้เรื่อยมาเป็นประจำในการจำกัดกีดกั้นจีนจากการเข้าถึงพวกเทคโนโลยีสหรัฐฯบางอย่างบางประเภทซึ่งจริงๆ แล้วทำขึ้นนอกสหรัฐฯ แม้กระทั่งในกรณีที่เทคโนโลยีเหล่านี้อยู่ในมือของพวกบริษัทต่างประเทศแล้วด้วยซ้ำ
เรื่องนี้จึงเป็นตัวอย่างล่าสุดของการที่ปักกิ่งกำลังหันกลับมาเอาแบบอย่างซึ่งสหรัฐฯทำเอาไว้ก่อนแล้ว เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับการจ้องตาเผชิญหน้ากับวอชิงตัน ในขณะที่สงครามการค้าระหว่างประเทศเจ้าของระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกทั้งสองราย กำลังทำท่าเหมือนกับบานปลายขยายตัวออกไปเรื่อยๆ
“จีนกำลังเรียนรู้จากคนที่ทำได้ดีที่สุด” นีล โธมัส (Neil Thomas) นักวิจัยที่ติดตามเรื่องการเมืองจีน อยู่ที่ ศูนย์เพื่อการวิเคราะห์จีน (Center for China Analysis) แห่งสถาบันนโยบายของสมาคมเอเชีย (Asia Society Policy Institute) ให้ความเห็น “ปักกิ่งกำลังก็อปปี้เอามาจากหนังสือคู่มือการเล่นของฝ่ายวอชิงตันเองเลย เพราะพวกเขาได้รับรู้จากการเจอกับตนเองว่าการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯนั้นมีประสิทธิภาพขนาดไหน ในการเหนี่ยวรั้งบีบคั้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจและทางเลือกต่างๆ ในทางการเมืองของจีนเอง”
“มือดีในการเล่มเกมมาเจอกัน ก็ต้องเกิดความนับถือกันและกัน” เขากล่าวต่อ
ไอเดียอย่างนี้สาวย้อนหลังไปได้อย่างน้อยถึงปี 2018
มันเป็นเมื่อปี 2018 นั่นแหละ ตอนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มเปิดฉากทำสงครามการค้ากับจีน ซึ่งทำให้ปักกิ่งรู้สึกว่าจำเป็นต้องเร่งรีบนำเอาพวกกฎหมายและนโยบายต่างๆ ชุดหนึ่งเข้าประยุกต์ใช้ จึงจะทำให้ตนเองสามารถมีความพรักพร้อมเมื่อการขัดแย้งทางการค้าครั้งใหม่ปะทุขึ้นมา และพวกเขาก็มองหาไอเดียเหล่านี้จากวอชิงตัน
บัญชีรายชื่อองค์การและบุคคลที่เชื่อถือไม่ได้ (Unreliable Entity List) ของจีน ซึ่งเริ่มจัดทำขึ้นโดยกระทรวงพาณิชย์จีนเมื่อปี 2020 มีความละม้ายเหมือนกับ “บัญชีรายชื่อองค์การและบุคคล” (entity list) ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ที่เป็นบัญชีดำเอาไว้จำกัดกีดกั้นพวกบริษัทต่างประเทศที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีนี้ จากการทำธุรกิจต่างๆ กับสหรัฐฯ
ในปี 2021 ปักกิ่งได้ออกกฎหมายแซงก์ชั่นพวกต่างชาติที่ไม่พึงประสงค์ (anti-foreign sanction law) มาบังคับใช้ ซึ่งมีเนื้อหาเปิดทางให้หน่วยงานต่างๆ เป็นต้นว่า กระทรวงการต่างประเทศจีน สามารถปฏิเสธการออกวีซ่าเข้าจีน ตลอดจนอายัดทรัพย์สินต่างๆ ของพวกบุคคลและธุรกิจซึ่งไม่เป็นที่ต้อนรับในประเทศจีน –เรื่องนี้ก็คล้ายๆ กับอำนาจที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และกระทรวงการคลังสหรัฐฯสามารถทำได้
“ไชน่านิวส์” (China News) สำนักข่าวแห่งหนึ่งของทางการจีน ได้เคยเผยแพร่รายงานข่าวชิ้นหนึ่งเมื่อปี 2021 ซึ่งเรียกมาตรการที่กำลังทยอยออกมาเหล่านี้ของแดนมังกรว่า เป็นชุดกล่องเครื่องมือสำหรับต่อสู้กับการที่ต่างประเทศใช้มาตรการแซงก์ชั่น, การแทรกแซง, และการอ้างเขตอำนาจแบบยื่นมือยาวเลยออกนอกเขตแดน เพื่อเล่นงานจีน พร้อมกันนี้รายงานข่าวชิ้นนี้ยังได้อ้างอิงคำสอนโบราณของจีนที่กล่าวว่า ปักกิ่งควรจะต้อง “เล่นงานกลับด้วยวิธีการต่างๆ ของข้าศึก”
กฎหมายและระเบียบใหม่ๆ เหล่านี้ “เป็นผลจากการศึกษาสำรวจพวกบทบัญญัติทางกฎหมายของต่างประเทศที่เกี่ยวข้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ รวมทั้งพิจารณาถึงหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักการพื้นฐานต่างๆ ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” นี่เป็นคำกล่าวของ หลี่ ชิงหมิง (Li Qingming) นักวิชาการชาวจีน ซึ่งรายงานข่าวชิ้นนี้อ้างอิงเอาไว้ เขากล่าวต่อไปด้วยว่า มาตรการเหล่านี้ยังสามารถใช้เป็นเครื่องป้องปรามไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งคิดลงมือทำให้สถานการณ์บานปลายขยายตัวอีกด้วย
มาตรการอย่างเป็นทางการประการอื่นๆ ที่ปักกิ่งได้นำเอามาใช้ในช่วงระยะเวลาหลายๆ ปีที่ผ่านมา ยังมี อาทิ มาตรการควบคุมการส่งออกที่มีเนื้อหาขยายครอบคลุมยิ่งขึ้นจากเดิม และพวกเครื่องมือสำหรับการพิจารณาทบทวนเพื่ออนุมัติการลงทุนของต่างประเทศ
ทางด้าน เจอเรมี ดอม (Jeremy Daum) นักวิชาการอาวุโสด้านการวิจัยเรื่องกฎหมาย และนักวิจัยอาวุโสของศูนย์จีนพอลไช่ (Paul Tsai China Center) แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล (Yale Law School) บอกว่า ปักกิ่งมักดึงเอาโมเดลจากต่างประเทศมาใช้อยู่บ่อยๆ ในการพัฒนากฎหมายของตนเองในด้านที่ไม่เกี่ยวกับการค้าและไม่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ และจากการที่จีนแสวงหาสมรรถนะในการตอบโต้อย่างสมน้ำสมเนื้อทางด้านการค้าและการแซงก์ชั่น ปรากฏว่าบ่อยครั้งทีเดียวเครื่องมือที่เอาออกมาใช้ “มีความคล้ายคลึงมาก” กับพวกที่สหรัฐฯใช้อยู่ก่อนแล้ว เขากล่าว
ทั้งรัฐบาลสหรัฐฯและรัฐบาลจีนยังต่างนำเอา “ทัศนะด้านความมั่นคงแห่งชาติแบบมองภาพรวม” (holistic view of national security) มาประยุกต์ใช้อีกด้วย เรื่องนี้ ดอม อธิบายว่ามันเป็นการขยายแนวความคิดเรื่องความมั่นคงแห่งชาติออกไป เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การจำกัดกีดกันอีกฝ่ายหนึ่ง
ปีนี้สิ่งต่างๆ เพิ่มความเข้มข้นขึ้นกว่าเดิมมาก
ตอนที่ทรัมป์เปิดฉากทำสงครามการค้ากับจีนของเขา เพียงไม่นานหลังหวนกลับคืนสู่ทำเนียบขาวอีกรอบหนึ่งเมื่อต้นปีนี้ นอกเหนือจากการเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรเรียกเก็บจากสินค้าเข้าสหรัฐฯ ขึ้นมาประชันขันแข่งกับอัตราที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯประกาศเพิ่มเอากับสินค้าเข้าจีนแล้ว ปักกิ่งก็อยู่ในสภาพมีเครื่องมือใหม่ๆ ของตนเตรียมพร้อมเอาไว้สำหรับการใช้งานอีกด้วย
ทั้งนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อตอบโต้กับการขึ้นภาษีศุลกากรรอบแรกในปีนี้ของทรัมป์ซึ่งอยู่ที่อัตรา 10% โดยอ้างข้อกล่าวหาว่าเนื่องจากปักกิ่งล้มเหลวไม่ยอมสกัดกั้นการไหลเวียนของพวกสารเคมีใช้ในการทำยาเสพติดเฟนตานิล (fentanyl) ซึ่งแพร่ระบาดมากในสหรัฐฯ กระทรวงพาณิชย์จีนก็ใส่ชื่อ พีวีเอชกรุ๊ป (PVH Group) ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่น เคลวิน ไคลน์ (Calvin Klein) และ ทอมมี ฮิลฟิเกอร์ (Tommy Hilfiger) รวมทั้งบริษัทเทคโนโลยี อิลลูมินา (Illumina) เอาไว้ในบัญชีรายชื่อองค์การและบุคคลที่เชื่อถือไม่ได้ ของตนบ้าง
การกระทำเช่นนี้คือการห้ามบริษัทเหล่านี้เข้ามีปฏิสัมพันธ์ในกิจกรรมการนำเข้าและการส่งออกที่เกี่ยวข้องกับจีน ตลอดจนห้ามพวกเขาทำการลงทุนใหม่ๆ ในแดนมังกร นอกจากนั้นปักกิ่งยังประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุ ทังสเตน (tungsten), เทลลูเรียม (tellurium), บิสมัท (bismuth), โมดิบดีนัม (molybdenum), และ อินเดียม (indium) ซึ่งต่างก็เป็นธาตุทรงความสำคัญอย่างยิ่งในการผลิตพวกผลิตภัณฑ์ไฮเทคสมัยใหม่
ในเดือนมีนาคม เมื่อทรัมป์บังคับขึ้นภาษีศุลกากรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเฟนตานิล ในอัตรา 10% เป็นครั้งที่สอง ปักกิ่งก็ใส่ชื่อกิจการสหรัฐฯอีก 10 แห่งเข้าไปในบัญชีรายชื่อองค์การและบุคคลที่เชื่อถือไม่ได้ของตน รวมทั้งเพิ่มชื่อบริษัทสหรัฐฯ 15 แห่งเข้าไปในบัญชีรายชื่อกิจการที่จีนต้องควบคุมการส่งออก โดยในนี้มีทั้งพวกบริษัทการบินและอวกาศ และบริษัทด้านกลาโหม อย่างเช่น เจนเนอรัล ไดนามิกส์ แลนด์ ซิสเทมส์ (General Dynamics Land Systems) และ เจนเนอรัล อะตอมมิกส์ แอโรนอทิคัล ซิสเทมส์ (General Atomics Aeronautical Systems) พร้อมกับยืนยันว่าบริษัทเหล่านี้ “มีอันตรายต่อความมั่นคงแห่งชาติและผลประโยชน์ของประเทศจีน”
จากนั้นก็มาถึงการประกาศขึ้นภาษีศุลกากรระลอกใหญ่กับประเทศต่างๆ ทั่วโลกในเดือนเมษายน ซึ่งทรัมป์เรียกว่าเป็น “วันปลดแอก” (Liberation Day) ปรากฏว่าปักกิ่งไม่เพียงตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรระดับทัดเทียมกับอัตราสูงลิบลิ่ว 125% ที่ทรัมป์บังคับเรียกเก็บเพิ่มจากจีนเท่านั้น แต่ยังใส่ชื่อบริษัทสหรัฐฯเพิ่มขึ้นอีกเอาไว้ในบัญชีดำ นอกจากนั้นก็ประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธเพิ่มเติม เรื่องหลังสุดนี้ได้นำไปสู่ภาวะชะงักงันในการขนส่งแม่เหล็กแรร์เอิร์ธซึ่งจำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตพวกผลิตภัณฑ์สมัยใหม่ต่างๆ อย่างกว้างขวาง เป็นต้นว่า สมาร์ตโฟน, รถยนต์ไฟฟ้า, เครื่องบินไอพ่น, และขีปนาวุธ
ขณะที่พวกเครื่องมือทางกฎหมายใหม่ๆ เหล่านี้ เปิดทางให้จีนสามารถจ้องตาเผชิญหน้ากับสหรัฐฯได้ แต่ ดอม ก็ชี้ว่า ใช่ว่ามันจะไม่ได้มีความเสี่ยงอะไรติดตามมาด้วย
“อันตรายของพวกวิธีการที่ภายนอกดูว่าเป็นวิธีการที่สมน้ำสมเนื้อและเป็นธรรมเช่นนี้ ก็คือว่า ประการแรก สิ่งที่ฝ่ายหนึ่งมองว่าเป็นการตอบโต้เอาคืนนั้น อีกฝ่ายหนึ่งอาจตีความว่าเป็นการเพิ่มปัญหาให้บานปลายขยายตัวก็ได้” เขากล่าว ส่วนประการที่สอง “ในการแข่งขันแบบดำดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ เช่นนี้ ไม่มีใครเป็นผู้ชนะหรอก” นักวิจัยผู้นี้เตือน