เปิดฉากสัปดาห์นี้...เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศเรื่องเขมร-เรื่องไทย ที่ดันมีคุณพี่จีนและคุณพ่ออเมริกาเข้ามาเกี่ยวข้องนุงนังนัวเนียอย่างชนิดแทบไม่รู้ไผ-เป็นไผ คงต้องขออนุญาตแวะไปเยี่ยม “คุณปู่อินตะระเดีย” น่าจะเหมาะกว่า เพราะเมื่อวัน-สองวันมานี้ หรือนับตั้งแต่วันศุกร์ที่1 ส.ค.เป็นต้นไป คุณปู่อินตะระเดียท่านเลี่ยงไม่พ้นที่ต้องเจอกับ “สากกะเบือภาษี”ของ “ทรัมป์บ้า”ฟาดเข้าแถวๆ กกหู หรือต้องโดนเก็บภาษีสินค้าที่ส่งเข้าไปยังประเทศอเมริกาถึง25 เปอร์เซ็นต์...นะนายจ๋า!!! หนักเสียยิ่งกว่าไทย-เขมร ที่โดนแค่เพียง19 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง...
ส่วนอะไรที่เป็นสาเหตุให้ “ทรัมป์บ้า” ถึงกับแสดงอาการรังเกียจกลิ่นแขก กลิ่นโรตี ไปได้ถึงปานนั้น...อันนี้ดูเหมือนรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา “นายMarco Rubio”เขาได้ออกมาแจกแจง อรรถาธิบาย ไว้ในระหว่างการให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุ “Fox Radio” เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา(31ก.ค.) ไว้ค่อนข้างชัดเจน ว่าเป็นเพราะการไปแอบซื้อ “น้ำมัน” จากรัสเซียนั่นแหละ ที่ทำให้คุณพ่ออเมริกาเกิดความเปรี้ยวมือ-เปรี้ยวเท้า หรือถือเป็น “จุดระคายเคือง”(point of irritation) ที่ทำให้ “ทรัมป์บ้า”ต้องควักสากกะเบือด้ามสุดท้าย หรือต้องใช้ “ภาษีศุลกากร”เป็นอาวุธฟาดไปแถวๆ กกหูคุณปู่อินตะระเดียถึงระดับ25 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น...
สำหรับคุณพี่จีน...ที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซียแบบเปิดๆ เผยๆ ไม่ได้คิดจะ “แอบจิต” ใดๆ เลย เผลอๆ อาจโดนหนักกว่าคุณปู่อินตะระเดียหลายต่อหลายเท่า หรืออย่างที่รัฐมนตรีคลังอเมริกา “นายScott Bessent”ออกมาขู่ไว้ก่อนล่วงหน้าเมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ว่าอาจต้องเจอกับภาษีระดับ 100 เปอร์เซ็นต์ไปโน่นเลย เรียกว่า...ใครก็ตามที่ดันทำอะไรให้ขัดอก-ขัดใจ “ทรัมป์บ้า”ในช่วงนี้ ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องโดน “สากกะเบือภาษี”อาวุธชิ้นสุดท้ายหลังจากที่ “อำนาจทางทหาร”
และ “อิทธิพลเงินดอลลาร์”ของอเมริกา ชักเป็นอะไรที่ “ทู่”ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพื่อหวังให้ใครต่อใครต้องหันมา “Kiss Ass”หรือหันมาจูบตูด “ทรัมป์บ้า”ถึงขั้นคิดจะนำเสนอให้มีโอกาสได้รับรางวัล “โนเบล สันติภาพ”กันชนิดคราวแล้ว-คราวเล่า หรือชนิดต้อง “เลียร์จนขนติดปาก” กันไปเป็นแถบๆ...
แต่ก็นั่นแหละ...ระดับมหาอำนาจอันดับ 2 ของโลกอย่างคุณพี่จีน หรือมหาอำนาจที่กำลังไต่ระดับขึ้นเป็นอันดับ 4 อันดับ 3 ของโลก อย่างคุณปู่อินตะระเดีย จะให้หันไปจูบตูด เลียขา เลียแข้งอเมริกา เหมือนอย่างประเทศเล็กๆ ของ “ฮวยเซ็ง” หรืออย่างกัมพูชา มันคงไม่น่าจะเป็นไปได้อยู่แล้วแน่ๆ!!! ด้วยเหตุนี้...ตั้งแต่เดือนที่แล้ว หรือช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ระหว่างที่ “ทรัมป์บ้า” กำลังฟาดงวง ฟาดงา ใส่ใครต่อใคร รัฐมนตรีต่างประเทศอินตะระเดีย “นายSubrahmanyam Jaishankar” ก็ได้ตัดสินใจเดินทางไปเยือนประเทศจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีที่ผ่านมาเพื่อพบปะหารือ พูดคุยเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ ถึงสัมพันธภาพระหว่าง “จีน-อินเดีย” ที่ต่างก็โดนคุณพ่ออเมริกาข่มขู่ คุกคาม ชนิดไม่เว้นแต่ละวัน อันอาจนำมาซึ่งการผนึกกำลังร่วมกันของกลุ่มประเทศมหาอำนาจหลักๆ เพื่อพิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ บนพื้นฐานอำนาจอธิปไตยของตัวเอง หรืออาจเกิดการเกาะกลุ่ม รวมตัวจนกลายเป็นประเทศ “RCI”(Russia-China-India) ดังที่เคยมีแนวความคิดทำนองนี้มานานแล้วนับทศวรรษๆ เอาเลยก็ไม่แน่...
คือแม้ว่าระหว่างจีน-กับ-อินเดียนั้น...จะยังคงมี “ปัญหา”ที่แก้ยาก แก้เย็นอยู่พอสมควร ไม่ว่าเรื่องการเป็น “คู่แข่ง” ในทางการเมือง-เศรษฐกิจ ปัญหาเขตแดนที่ออกจะสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพื่อนทรยศอยู่พอสมควร ไปจนถึงการแผ่อิทธิพลเข้าไปยังอาณาบริเวณประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียง ฯลฯ ที่ทำให้สัมพันธภาพระหว่างประเทศทั้งสองยังคงมึนๆ-ตึงๆ อยู่บ้างเป็นช่วงๆ ระยะๆ แต่ถ้าดูจาก “สัมพันธภาพทางการค้า” หรือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางธุรกิจระหว่างประเทศทั้งสอง โดยเฉพาะนับจากช่วงที่คุณพี่จีนท่านต้องเจอกับ “สงครามเศรษฐกิจ” ไม่ว่าเรื่องการค้าๆ ขายๆ การลงทุน เทคโนโลยี ฯลฯ กับคุณพ่ออเมริกา มูลค่าทางการค้าระหว่างจีน-อินเดียเมื่อช่วง2 ปีที่แล้วกลับเป็นอะไรที่พุ่งขึ้นแบบพรวดๆ พราดๆ หรือพุ่งขึ้นไปถึง118,400 ล้านดอลลาร์ หวิดจะใกล้ๆ กับมูลค่าทางการค้าระหว่างอเมริกา-อินเดียที่อยู่ที่ประมาณ131,800 ล้านดอลลาร์เมื่อปี ค.ศ.2024 จนอาจจะแซงหน้า แซงโค้ง ในช่วงระยะอีกไม่นานนับจากนี้ โดยเฉพาะถ้าหากอเมริกายังคงพยายามคว้าสากกะเบือมาไล่ทุบ ไล่ตี ทั้งจีนทั้งอินเดียแบบไม่คิดจะลด-ละ-เลิก ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย...
หรืออาจทำให้ “สัมพันธภาพ” ระหว่างจีน-อินเดีย เป็นไปในแบบที่เรียกๆ กันว่า “Dragon-Elephant Tango” เป็นการจับคู่เต้นแทงโกระหว่างพญามังกรกับพญาคชสาร ที่ต่างมีลำหัก ลำโค่น ในทางการเมือง-เศรษฐกิจและแม้แต่การทหาร อย่างชนิดประชาคมโลกมิอาจปฏิเสธได้เลย และยิ่งมีพญาหมีขาวอย่างรัสเซียเข้ามาร่วมเต้น ร่วมสะบัดหน้า สะบัดตา ด้วยอีกแรง โอกาสที่จะส่งผลให้มหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา ต้องหันไปหาเวที “รำวง”หรือไปต่อคิวรอจังหวะ 3 ช่า ตามงานวัด งานวา ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ เพราะอย่างที่ว่าไว้แล้วนั่นแหละว่า โลกขณะนี้...มันได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว ไม่ใช่ “โลกขั้วอำนาจเดียว”อีกต่อไป แต่ด้วยเหตุเพราะความ “บ้า”หรือความ “ไม่เข้าใจ” ต่อความเป็นไปของโลก หรือเพราะความพยายามที่จะยึดมั่นต่อ “ตัวกู-ของกู”ต่อ “America First”เป็นสำคัญ การไล่ทุบ ไล่ตี ทั้งจีนทั้งอินเดีย เพื่อหวังจะให้แยกขาดออกไปจากรัสเซียนั้น มันเลยกลายเป็นการผลักดัน “มิตร”ให้กลายเป็น “ศัตรู”ของตัวเองไปโดยปริยาย...
เพราะแม้คุณปู่อินตะระเดียท่านค่อนข้างจะลื่นๆ ไหลๆ ตามประสา“แขก” ที่ชอบปล่อยกู้ดอกเบี้ยแบบ “อีนี่...โร้ยย์ย์ย์ละยี่สิบนะนายจ๋า” แต่อย่างที่กระทรวงการต่างประเทศอินเดีย เขาได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงหลังจากที่โดนภาษีอเมริกาขึ้นไปถึง25 เปอร์เซ็นต์อันเนื่องมาจากการค้าๆ-ขายๆ กับรัสเซียนั่นแหละว่า “การซื้อน้ำมันจากรัสเซียของอินเดียเป็นสิ่งที่เป็นไปตามแรงขับเคลื่อนของกลไกตลาด ระดับราคา และบนผลประโยชน์แห่งชาติของอินเดีย” อันถือเป็นความถูกต้อง-ชอบธรรม ที่ไม่ควรจะหยิบมาใช้เป็นเงื่อนไขในการเล่นงานอินเดียได้เลยแม้แต่น้อย หรือแม้แต่การที่อินเดียไม่ได้แสดงความ “กระตือรือร้น” ใดๆ ขณะที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า”พยายามเสนอขายเครื่องบินรบรุ่นล่าสุด “F-35”ให้กับอินเดีย ในการพบปะระหว่าง “ทรัมป์บ้า” กับนายกรัฐมนตรี “Narendra Modi” เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตามที่สำนักข่าว“Bloomberg” เขาได้ระบุไว้ในรายงานข่าวเมื่อวันพฤหัสฯ ที่31 ก.ค.แต่กลับหันไปให้ความสนใจต่อเครื่องบินรบของรัสเซีย คือ “Su-57” กันแทนที่ ก็น่าจะด้วยเหตุเพราะเครื่องบินรบรัสเซียนั้นถูกกว่ากันเยอะ เมื่อเทียบกับ “F-35” ที่ปาเข้าไปลำละไม่ต่ำกว่า41.18 พันล้านดอลลาร์ แถมมีเทคนิคหลายอย่างที่เหนือกว่าเครื่องบินอเมริกาที่ดัน “ตกบ่อย” ซะอีกต่างหาก ฯลฯ...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ด้วย “ผลประโยชน์แห่งชาติ”ของอินตะระเดียเองนั่นแหละ ที่ทำให้ยากจะไปกด ไปบีบ ไปขู่บังคับอะไรกันได้ง่ายๆ ด้วยเหตุนี้...แม้ว่ามหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกาจะยังคงเหลือ “สากกะเบือด้ามสุดท้าย” อันได้แก่มาตรการทาง “ภาษี” เอาไว้กด ไว้บีบไว้ข่มขู่คุกคามใครต่อใครก็แล้วแต่ ไม่ใช่เฉพาะจีน-อินเดีย-รัสเซีย-อิหร่าน ฯลฯ แม้แต่ไทยแลนด์
แดนสยาม ของหมู่เฮา ไปจนถึง “เคลมโบเดีย”ก็ยังมิวายถูกนำเอาอาวุธชนิดนี้ออกมาใช้ จะเพื่อให้เกิด “สันติภาพ”หรือเพื่อ “ช่วยกัมพูชา” ไม่ให้ถูกไทยไล่เหยียบไล่กระทืบ ก็ตามที ลามไปถึงประเทศพี่เบิ้มแห่งละตินอเมริกาอย่างบราซิล ก็ยังโดนภาษีอเมริกันถึงระดับ 50 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น บรรดาสิ่งเหล่านี้นี่เองที่ทำให้อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศอินตะระเดีย “นายKanwal Sibal” ท่านได้สรุปไว้ในข้อเขียนบทความ ชิ้นล่าสุดว่าด้วยเรื่อง “The BRICS hit back: Trump’s old tricks meet new world”หรือการโต้กลับของกลุ่มประเทศโลกใต้ต่อลูกไม้เก่าๆ ของ “ทรัมป์บ้า”เอาไว้อย่างน่าคิดน่าสะกิดใจ เอามากๆ โดยเฉพาะข้อความที่ว่า... “การใช้มาตรการภาษีเป็นอาวุธของอเมริกากานั้น ก็คือการกดดัน เร่งเร้า ให้โลกทั้งโลกต้องหัดเรียนรู้และปรับตัว เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันภายในโลกใบใหม่ หรือโลกที่ไม่จำเป็นต้องมีอเมริกาอีกต่อไปให้จงได้!!!”
แต่ก็นั่นแหละ...การคิดจะใช้มาตรการภาษีมากดดันเล่นงานใครต่อใคร เพื่อให้ต้องกลายมาเป็น “ฝ่ายอเมริกา”อันแทบไม่ต่างอะไรไปจากการก่อ “สงครามภาษี” หรือ “สงครามการค้า” กับโลกทั้งโลก โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะจบลงในแบบแฮปปี้
เอนดิ้ง แม้แต่กับอเมริกาก็เถอะ!!! มันน่าจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแน่ๆ เพราะอย่างที่อดีตนักสังคมนิยมอเมริกันเอง “นายEugene Victor Debs” เขาได้สรุปและฟันธงเอาไว้เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วนั่นแหละว่า “Sooner or later every war of trade becomes a war of blood” หรือไม่ช้าก็เร็ว...ที่สงครามการค้าในทุกๆ ครั้งย่อมต้องกลายเป็นสงครามเลือด!!!
ด้วยเหตุนี้...ท่ามกลางแรงกดดัน ข่มขู่ คุกคาม ของอเมริกาต่อประเทศเล็กประเทศน้อยไปจนถึงบรรดามหาอำนาจทั้งหลาย
แม้ว่ามหาอำนาจคู่แข่งอย่างรัสเซียจะยังไม่ได้คิดแสดงปฏิกิริยาใดๆ ต่อการ “ยื่นคำขาด” ของอเมริกาที่จะลดเวลาจาก50
วันเหลือแค่10-12 วัน นับจากวันอังคารที่ผ่านมา(29 ก.ค.) ให้รีบบรรลุข้อตกลงโดยเร็วกับคู่ขัดแย้งอย่างยูเครน แต่เมื่อวันศุกร์ที่แล้วนี่เอง(1 ส.ค.) ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน”ท่านได้ออกมาแถลงถึงความคืบหน้าในปฏิบัติการทางทหารรัสเซียต่อยูเครน ด้วยการระบุไว้ว่า...ถึง ณ ขณะนี้ กองทัพรัสเซียได้นำเอาขีปนาวุธ “Hypersonic” ที่รัสเซียเชื่อว่ายังไม่มีระบบป้องกันภัยใดๆ ในโลกสามารถสกัดกั้นได้อย่าง “Oreshnik”ซึ่งมีอานุภาพไม่น้อยไปกว่าอาวุธนิวเคลียร์ เข้ามาประจำการในกองทัพรัสเซียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะส่งมอบให้กับพันธมิตรที่ใกล้ชนิดอย่างเบลารุส ภายในสิ้นปีนี้...
ส่วนมหาอำนาจคู่แข่งอีกรายอย่างคุณพี่จีน ก็ได้เผยแพร่ภาพถ่ายวิดีโอการซ้อมยิงขีปนาวุธข้ามทวีป(ICBM) ไปยังมหาสมุทรแปซิฟิก ชนิดถือเป็น “ครั้งแรกในรอบ40 ปี”ที่ผ่านมา โดยไม่ใช่ถือเป็นแค่การ “ทดสอบ” ของศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ แต่เป็นการซ้อมยิงของกองกำลังจรวดล้วนๆ และจะด้วยเหตุเหล่านี้หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่ต้องลองไปคิดๆ กันเอาเอง ที่ทำให้ผู้ที่ยังคงคิดว่าโลกใบนี้คือโลกของอเมริกา หรือ “โลกขั้วอำนาจเดียว”อย่าง “ทรัมป์บ้า” ออกมาป่าวประกาศว่าได้สั่งการให้ “เรือดำน้ำนิวเคลียร์ 2 ลำ” ของกองทัพอเมริกา เคลื่อนกำลังไปยัง “พื้นที่ที่เหมาะสม” เพื่อแสดงถึงความไม่พอใจต่อคำตำหนิติติงของอดีตประธานาธิบดีรัสเซีย “นายDmitry Medvedev”ในกรณีการยื่นคำขาดต่อประเทศรัสเซียนี่...อันนี้นี่แหละที่ทำให้อะไรต่อมิอะไรมันชักจะเป็นไปดังที่อดีตนักสังคมนิยมอเมริกา เขาได้ “ฟันธง” ไว้นานแล้ว ถึง “สงครามการค้า”ที่จะต้องกลายเป็น “สงครามเลือด” ในทุกๆ ครั้ง!!!