ฝรั่งเศสยังอึมครึม “มาครง” พยายามยื้อ โดยให้เวลานายกฯ “เลอกอร์นู” ผู้ยื่นใบลาออกแล้ว อีก 48 ชั่วโมง เพื่อระดมเสียงสนับสนุนคณะรัฐมนตรีชุดใหม่และนำฝรั่งเศสหลุดพ้นทางตันทางการเมือง ขณะที่โพลล่าสุดชี้ประชาชนเกือบครึ่งโทษประธานาธิบดีคือต้นเหตุความวุ่นวาย และส่วนใหญ่เชื่อว่า การยุบสภาหรือการลาออกของมาครงอาจช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้
ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง แต่งตั้งเซบาสเตียน เลอกอร์นู วัย 39 ปี อดีตรัฐมนตรีกลาโหมและพันธมิตรคนสนิท เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ก.ย. และมอบหมายให้จัดตั้งรัฐบาล หลังจากที่ ฟรองซัว บายรู นายกรัฐมนตรีคนเดิมต้องออกจากตำแหน่งเพราะถูกรัฐสภาลงมติไม่ไว้วางใจ
ทว่า ทันทีที่เลอกอร์นูเปิดเผยรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เมื่อค่ำวันอาทิตย์ (5 ต.ค.) กลับถูกวิจารณ์หนักว่า เป็นพวกคนหน้าเดิมจากรัฐบาลชุดที่แล้วๆ และเลอกอร์นูประกาศลาออกในวันต่อมา และถือเป็นนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของฝรั่งเศส
อย่างไรก็ดี ค่ำวันจันทร์ (6) สถานการณ์กลับหักมุมอีกครั้ง โดยเลอกอร์นูยอมรับคำขอของมาครงในการจัดการเจรจาขั้นสุดท้ายกับเหล่าผู้นำทางการเมืองเพื่อระบุมาตรการดำเนินการและปกป้องเสถียรภาพของประเทศ
เลอกอร์นูโพสต์บนโซเชียลมีเดียว่า จะรายงานผลการเจรจากับมาครงภายในค่ำวันพุธ (8)
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของสำนักประธานาธิบดีฝรั่งเศสเผยว่า มาครงพร้อมรับผิดชอบหากการเจรจาล้มเหลว ซึ่งอาจหมายถึงการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่
ทั้งนี้ เสียงวิจารณ์คณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่พุ่งไปที่การแต่งตั้งบรูโน เลอ แมร์ อดีตรัฐมนตรีคลัง ให้มาคุมกระทรวงกลาโหม เนื่องจากมองว่า เลอ แมร์อาจถูกใช้เป็นร่างทรงเพื่อฟื้นนโยบายเศรษฐกิจของมาครง
ในวันจันทร์ เลอ แมร์ ได้ประกาศลาออกเพื่อสยบความวุ่นวายทางการเมือง
ลองของใหม่
การลาออกของนายกรัฐมนตรีเลอกอร์นู ซ้ำเติมวิกฤตการเมืองที่เขย่าฝรั่งเศสมากว่าปี นับจากที่มาครงจัดการเลือกตั้งรัฐสภาก่อนกำหนดเมื่อกลางปีที่แล้วซึ่งจบลงด้วยการที่ไม่มีพรรคใดคุมเสียงข้างมากเอาไว้ได้
เอดัวร์ ฟิลิปป์ อดีตนายกรัฐมนตรีและว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่จากพรรคขวา-กลาง ประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็น “เกมการเมืองที่น่าวิตก” และเรียกร้องให้มาครงจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีก่อนกำหนดทันทีที่งบประมาณปี 2026 ผ่านความเห็นชอบของสภา
วิกฤตรอบใหม่นี้จุดชนวนการวิพากษ์วิจารณ์ภายในกลุ่มผู้สนับสนุนมาครงเอง โดยเมื่อค่ำวันจันทร์ กาเบรียล อัตตาล ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงปีที่แล้วและปัจจุบันเป็นผู้นำพรรคการเมืองสายกลางของมาครง ให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่เข้าใจการตัดสินใจของมาครงอีกต่อไป และสำทับว่า หลังจากแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีมาหลายคนแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่มาครงต้องลองแนวทางอื่นๆ
อย่างไรก็ดี เขาบอกว่า จะเข้าร่วมการหารือกับเลอกอร์นู
ความสับสนอลหม่านนี้เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2027 ที่คาดว่า จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองฝรั่งเศส โดยที่ มาครง ซึ่งดำรงตำแหน่งมาครบ 2 สมัยแล้ว ไม่มีสิทธิลงแข่งขันอีก จึงยิ่งเป็นการเปิดทางให้ เนชันแนล แรลลี (อาร์เอ็น) ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดภายใต้การนำของมารีน เลอ เปน มีโอกาสมากที่สุดที่พรรคจะได้บริหารประเทศ
เลอ เปนกล่าวว่า มาครงควรลาออกตั้งแต่ตอนนี้ และสำทับว่า การยุบสภาและจัดเลือกตั้งใหม่ “จำเป็นอย่างยิ่ง”
มาตรการรัดเข็มขัด
ฟรองซัวส์ เบย์รู และมิเชล บาร์นิเยร์ นายกรัฐมนตรีสองคนก่อนหน้าเลอกอร์นู ถูกรัฐสภาโค่นอำนาจจากข้อพิพาทเกี่ยวกับการตัดลดงบประมาณ
นายกรัฐมนตรีคนใหม่แดนน้ำหอมจะต้องเผชิญความท้าทายในการระดมการสนับสนุนร่างงบประมาณในสภาที่พรรคแนวร่วมของมาครงครองเสียงข้างน้อย
วิกฤตการเมืองครั้งนี้ยังเกิดขึ้นขณะที่หนี้สาธารณะของฝรั่งเศสพุ่งขึ้นเป็น 113.9% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)หรือสูงสุดเป็นอันดับ 3 ในสหภาพยุโรป รองจากกรีซและอิตาลี และสูงเกือบสองเท่าของสัดส่วนที่อนุญาตที่ 60% ตามกฎของอียู
มาครงมีทางเลือกน้อยมาก อาทิ การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีใหม่ซึ่งจะเป็นคนที่ 8 ภายใต้คณะบริหารของเขา แต่ไม่มีแนวโน้มว่า มาครงจะยอมเลือกนายกฯใหม่ที่มาจากสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาล หรือนักการเมืองฝ่ายซ้ายที่ต้องการบ่อนทำลายการปฏิรูประบบบำนาญและการขึ้นภาษีคนรวย ขณะที่นักการเมืองฝ่ายขวาก็ไม่มีใครสามารถระดมเสียงสนับสนุนได้มากพอ
สำหรับการยุบสภาจัดการเลือกตั้งใหม่นั้น มาครงนั้นปฏิเสธเสียงเรียกร้องในเรื่องนี้มาโดยตลอด รวมทั้งเขายังตัดความเป็นไปได้ในการที่ตัวเขาจะลาออกจากตำแหน่งก่อนหมดวาระในปี 2027
เวลาเดียวกัน โพลจากเอลาเบที่จัดทำให้กับบีเอฟเอ็ม ทีวีที่ มีการเผยแพร่เมื่อวันจันทร์พบว่า คนฝรั่งเศส 3 ใน 4 เชื่อว่า เลอกอร์นูตัดสินใจถูกแล้วที่ลาออก ขณะที่เกือบครึ่งโทษมาครงเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายทางการเมือง และคนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่า การยุบสภาหรือการลาออกของมาครงอาจช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้
นอกจากนั้นโพลสองสำนักเมื่อเดือนที่แล้วยังระบุว่า หากมีการเลือกตั้งใหม่ อาร์เอ็นอาจมีที่นั่งในสภามากที่สุด โดยสภาจะถูกควบคุมโดย 3 กลุ่มแต่ไม่มีกลุ่มใดครองเสียงข้างมาก
(ที่มา: เอเอฟพี/รอยเตอร์)