ทรัมป์สั่งสอบสวนและดำเนินคดีผู้ที่เผาหรือกระทำการที่เป็นการดูหมิ่นธงชาติสหรัฐฯ โดยอ้างว่า เพื่อจัดการกับ “ลัทธิต่อต้านอเมริกัน” รวมทั้งให้เพนตากอนจัดหน่วยพิเศษในกองกำลังป้องกันชาติเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในวอชิงตัน พร้อมระบุคนอเมริกันจำนวนมากน่าจะชอบ “เผด็จการ”
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวตำหนิสื่อและพวกที่วิพากษ์วิจารณ์ตัวเขา ระหว่างให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาวเมื่อวันจันทร์ (25 ส.ค.) พร้อมโอดครวญที่ตนไม่ได้ความดีความชอบในการส่งกองกำลังป้องกันชาติ (เนชั่นแนลการ์ด) เข้ากวาดล้างปัญหาอาชญากรรมและการลักลอบเข้าเมืองในกรุงวอชิงตัน
ทรัมป์บอกว่า คนพวกนั้นกลับขับไล่ไสส่งและประณามตนเป็นเผด็จการ แต่ตนไม่ได้เป็นและก็ไม่ชอบเผด็จการ ก่อนสำทับว่า แต่หลายคนบอกว่า พวกเขาอาจชอบเผด็จการ
ที่ผ่านมา ทรัมป์ซึ่งยังคงพยายามเสมอมาที่จะล้มล้างผลการเลือกตั้งปี 2020 ที่ตนเองพ่ายแพ้ให้แก่โจ ไบเดน รวมทั้งแสดงท่าทีสนับสนุนพวกสาวกซึ่งก่อการลุกฮือขึ้นในช่วงก่อนที่เขาสิ้นวาระเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ได้พูดระหว่างการหาเสียงก่อนที่จะชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีครั้งที่สองเมื่อเดือนพ.ย.ปีที่แล้วว่า เขาอาจเป็นเผด็จการตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งในวาระใหม่
ตอนต้นเดือนสิงหาคมนี้ ทรัมป์ออกคำสั่งส่งกองกำลังป้องกันชาติเข้ากรุงวอชิงตัน โดยอ้างว่าเพื่อจัดการปัญหาอาชญากรรมที่พวกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นไม่อาจควบคุมได้ รวมทั้งเข้าควบคุมสำนักงานตำรวจของกรุงวอชิงตัน นอกจากนั้นช่วงไม่กี่วันมานี้ เขาบอกอีกว่า อาจส่งทหารเนชั่นแนลการ์ด เข้าไปในเมืองชิคาโกและเมืองบัลติมอร์ ด้วย ซึ่งล้วนเป็นที่มั่นของพรรคเดโมแครต
ก่อนหน้านั้น เมื่อเดือนมิถุนายน ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ ก็ได้ส่งกองกำลังป้องกันชาติเข้าไปในเมืองลอสแองเจลิส ทั้งที่นายกเทศมนตรีแอลเอและผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งสังกัดเดโมแครตพากันคัดค้าน
สำหรับครั้งนี้ เป้าหมายการตำหนิวิจารณ์ของทรัมป์ พุ่งไปที่ เจบี พริตซ์เกอร์ ผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งคัดค้านการส่งทหารเข้าสู่ชิคาโก และเมื่อวันจันทร์ยังโจมตีทรัมป์โดยตรงระหว่างแถลงข่าวว่า ทรัมป์ต้องการเป็นเผด็จการ ที่เล็งใช้ทหารเข้ายึดเมืองต่างๆ เพื่อลงโทษฝ่ายตรงข้าม และทำคะแนนทางการเมือง
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อวันจันทร์ ทรัมป์ยังลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารให้รัฐมนตรียุติธรรมสอบสวนและดำเนินคดีผู้ที่เผาหรือกระทำการที่เป็นการดูหมิ่นธงชาติอเมริกัน โดยอ้างว่า เพื่อจัดการกับ “ลัทธิต่อต้านอเมริกัน” ถึงแม้ในปี 1989 ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ เคยวินิจฉัยว่า การกระทำดังกล่าวได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นก็ตาม
ผู้นำสหรัฐฯ ยังประกาศมาตรการใหม่เพื่อกระชับอำนาจการควบคุมด้านความมั่นคงในกรุงวอชิงตัน โดยสั่งการให้พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหม จัดตั้งหน่วยพิเศษภายในกองกำลังป้องกันชาติของเมืองหลวง เพื่อรับผิดชอบในการรักษาความสงบเรียบร้อย และยกเลิกการให้ประกันตัวโดยไม่วางเงินสดค้ำประกัน
เขายังบอกว่า อาจเปลี่ยนชื่อกระทรวงกลาโหมกลับไปเป็นกระทรวงสงครามเหมือนเมื่อปี 1789-1947 เนื่องจากชื่อกระทรวงในภาษาอังกฤษคือ “Defense” ซึ่งแปลตรงๆ ว่า การป้องกันอารักขา นั้น ดูเป็นการตั้งรับมากเกินไป
ทางพรรคเดโมแครตกล่าวหาทรัมป์มาตลอดว่า ใช้อำนาจประธานาธิบดีเกินขอบเขตที่รัฐธรรมนูญกำหนด กรณีล่าสุดคือการส่งทหารเข้าสู่เมืองหลวง
นอกจากนั้นทรัมป์ยังกวาดล้างทุกสิ่งตั้งแต่ระบบราชการไปจนถึงนโยบาย “ตื่นรู้” และฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
ทว่า ประธานาธิบดีวัย 79 ปีผู้นี้ปฏิเสธคำวิจารณ์ทั้งหมดอย่างกราดเกรี้ยวกว่า 45 นาทีก่อนที่จะให้สัมภาษณ์นักข่าวในห้องทำงานรูปไข่ โดยยืนยันว่า ตนเองไม่ได้เป็นพวกเหยียดผิว แต่รักคนผิวดำ ก่อนที่จะเรียกชายชาวซัลวาดอร์ที่กำลังจะถูกเนรเทศไปยูกันดาจากกรณีการลักลอบเข้าเมืองว่าเป็น “สัตว์ตัวหนึ่ง”
เขายังเรียกอดีตประธานาธิบดีไบเดนว่า “ปัญญาอ่อน” และไม่เห็นด้วยกับการวิจารณ์ว่า การรุกรานยูเครนในปี 2022 ของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เป็นผลจาก “ความขัดแย้งด้านบุคลิกภาพขั้นรุนแรง” แถมล่าสุดยังแสดงความชื่นชมคิม จอง-อึน ผู้นำเผด็จการของเกาหลีเหนือ ระหว่างพบกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ที่ไปเยือนทำเนียบขาวในวันจันทร์
(ที่มา: เอเอฟพี/รอยเตอร์)