ทรัมป์ประกาศขยายเวลาพักรบสงครามการค้ากับจีนต่ออีก 90 วัน ช่วยชะลอการเผชิญหน้าสุดอันตรายระหว่างสองชาติที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า วอชิงตันตระหนักแล้วว่า ตัวเองไม่ได้ถือไพ่เหนือกว่า ไม่สามารถบีบคั้นจีนให้ยอมสยบอย่างเดียวกับที่ทำกับชาติคู่ค้าอื่นๆ
ในวันจันทร์ (11 ส.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์บนสื่อสังคม ทรูธโซเชียล ของเขาว่า ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อขยายเส้นตายการขึ้นภาษีศุลกากรที่อเมริกาจะบังคับใช้กับสินค้าจีนออกไปอีก 90 วัน โดยที่องค์ประกอบอื่นๆ ในข้อตกลงยังคงเดิม
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์จีนออกคำแถลงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
เส้นตายเดิมคือเวลา 0.01 น. วันอังคาร (12) ซึ่งหากไม่มีการตกลงขยายเวลาแล้ว อเมริกาสามารถเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนสูงขึ้นอีกหลายเท่าตัวจากอัตรา 30% ในเวลานี้ ส่วนปักกิ่งก็สามารถตอบโต้ด้วยมาตรการเดียวกัน
การประกาศครั้งนี้ช่วยต่อเวลาให้สองประเทศได้ใช้แก้ไขข้อขัดแย้งที่ยังมีอยู่ และอาจปูทางสู่การประชุมสุดยอดระหว่างทรัมป์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ปลายปีนี้
ฌอน สไตน์ ประธานสภาธุรกิจอเมริกัน-จีน กล่าวว่า การขยายเส้นตายสำคัญมากเพราะทำให้สองประเทศมีเวลานานขึ้นในการเจรจาข้อตกลงการค้าซึ่งธุรกิจอเมริกันหวังว่า จะช่วยปรับปรุงการเข้าถึงตลาดในจีน และทำให้บริษัทต่างๆ สามารถวางแผนระยะกลางและระยะยาวได้
สไตน์เสริมว่า การบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับสารเสพติดเฟนทานิล ที่นำไปสู่การลดภาษีศุลกากรของอเมริกาและการระงับมาตรการตอบโต้ของจีน มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการรีสตาร์ทการส่งออกสินค้าเกษตรและพลังงานของสหรัฐฯ
เมื่อวันอังคาร จีนยังประกาศว่า จะขยายมาตรการผ่อนผันสำหรับบริษัทอเมริกันที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีควบคุมการส่งออกตลอดจนรายชื่อนิติบุคคลที่ไว้วางใจไม่ได้
ทั้งนี้ หลังจากทรัมป์เริ่มประกาศมาตรการภาษีศุลกากรในเดือนเม.ย. จีนก็ได้สั่งจำกัดการส่งออกสินค้าที่ใช้ได้ทางพลเรือนและทางทหาร ไปให้บริษัทอเมริกันบางแห่ง พร้อมทั้งห้ามบริษัทอเมริกันบางแห่งลงทุนในจีน ซึ่งล่าสุด กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า จะระงับมาตรการเหล่านี้สำหรับบริษัทบางแห่ง และขยายการผ่อนผันสำหรับบริษัทอื่นๆ อีก 90 วัน
การบรรลุข้อตกลงกับจีนเป็นหนึ่งแผนการที่ยังคงไม่ลุล่วงสำหรับทรัมป์ ผู้ที่ทำให้ระบบการค้าโลกพลิกผันด้วยภาษีศุลกากรในอัตราเลขสองหลักกับเกือบทุกประเทศ
สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และชาติคู่ค้าอื่นๆ ต้องพากันยินยอมรับข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรมของทรัมป์ ซึ่งหมายถึงการเสียภาษีศุลกากรในอัตราสูงเกินคาด เช่น 15% สำหรับสินค้าญี่ปุ่นและอียู เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านั้น ขณะที่ต้องยินยอมอ่อนข้อประการอื่นๆ ให้แก่สหรัฐฯอีกด้วย เป็นต้นว่า เก็บภาษีจากสินค้าเข้าอเมริกันในอัตรา 0% และสัญญาซื้อผลิตภัณฑ์หรือลงทุนในอเมริกามูลค่ามหาศาล
นโยบายการค้าของทรัมป์กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าอเมริกาจากหนึ่งในประเทศที่เปิดกว้างทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลกกลายเป็นป้อมปราการของนักกีดกันการค้า ข้อมูลของบัดเจ็ต แล็บ แห่งมหาวิทยาลัยเยลระบุว่า อัตราภาษีศุลกากรเฉลี่ยของอเมริกาพุ่งจาก 2.5% เมื่อต้นปี เป็น 18.6% สูงที่สุดนับจากปี 1933
กระนั้น จีนกลายเป็นประเทศซึ่งสามารถท้าทายนโยบายการค้าของทรัมป์ ซึ่งพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดในการใช้ภาษีศุลกากรเป็นไม้กระบองตีกระหน่ำคู่ค้าให้ยอมจำนน เนื่องจากปักกิ่งมีไม้กระบองเช่นเดียวกัน นั่นคือการระงับหรือชะลอการเข้าถึงแร่ธาตุหายากหรือแรร์เอิร์ธที่ใช้ในผลิตภัณฑ์สมัยใหม่ทุกอย่างตั้งแต่รถยนต์อีวีจนถึงเครื่องบิน
เดือนมิ.ย. สองประเทศบรรลุข้อตกลงผ่อนคลายความตึงเครียด โดยวอชิงตันประกาศว่า จะระงับข้อจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีชิปและผลิตภัณฑ์ก๊าซอีเทนที่จำเป็นในการผลิตปิโตรเคมี และจีนตกลงผ่อนคลายข้อกำหนดเพื่อให้บริษัทอเมริกันเข้าถึงแรร์เอิร์ธง่ายขึ้น
แคลร์ รีด ที่ปรึกษาอาวุโสของอาร์โนลด์ แอนด์ พอร์เตอร์ และอดีตผู้ช่วยผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ด้านกิจการจีน ชี้ว่า อเมริกาตระหนักแล้วว่า ตนเองไม่ได้ถือไพ่เหนือกว่า
ก่อนหน้านั้น ในเดือนพ.ค. อเมริกาและจีน เลี่ยงความย่อยยับทางเศรษฐกิจด้วยการลดภาษีตอบโต้กันอัตราสูงลิบ โดยวอชิงตันนั้นกำหนดไว้ที่ 145% และจีน 125%
ภาษีในอัตราเลขสามหลักเหล่านั้นเสี่ยงทำให้การค้าระหว่างสองชาติยุติลง และปลุกเร้าให้มีการเทขายอย่างหนักในตลาดการเงิน ในการหารือกันที่เจนีวาเดือนพ.ค. วอชิงตันและปักกิ่งยอมถอยคนละก้าวและเจรจากันต่อหลังจากต่างตระหนักถึงความสามารถของอีกฝ่ายในการประหัตประหารกันและกัน โดยอเมริกาลดภาษีเหลือ 30% ซึ่งยังถือว่าสูงอยู่ดี ส่วนจีนลดเหลือ 10%
อาลี ไวน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์อเมริกา-จีนของอิ นเตอร์เนชันแนล ไครซิส กรุ๊ป มองว่า ท่าทีของคณะบริหารทรัมป์เช่นนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ตอกย้ำว่าการใช้ประโยชน์จากมาตรการบังคับเอาตามอำเภอใจฝ่ายเดียวนั้นเป็นสิ่งที่มีข้อจำกัด แต่ยังทำให้ปักกิ่งมีเหตุผลในการเชื่อว่า ตนเองสามารถใช้สิทธิ์จากการถือไพ่เหนือกว่าอย่างไม่สิ้นสุดในการเจรจาที่สำคัญกับวอชิงตันด้วยการขู่ปิดกั้นการส่งออกแรร์เอิร์ธ
ขณะนี้ ยังไม่ชัดเจนว่า ในที่สุดแล้วสองประเทศจะสามารถบรรลุข้อตกลงสำคัญที่ครอบคลุมซึ่งเป็นข้อคับข้องใจของฝ่ายวอชิงตันได้หรือไม่ ข้อคับข้องดังกล่าวรวมถึงการที่จีนไม่เข้มงวดเพียงพอในการปกป้องสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งใช้มาตรการอุดหนุนและนโยบายอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่อเมริการะบุว่า ทำให้บริษัทจีนได้เปรียบอย่างไม่เป็นธรรมในตลาดโลก และทำให้อเมริกาขาดดุลการค้าจีนมโหฬารถึง 262,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว
รีดคาดหมายว่า สองชาติน่าจะบรรลุข้อตกลงแบบจำกัดเท่านั้น เช่น การที่จีนบอกว่า จะซื้อถั่วเหลืองจากอเมริกามากขึ้น และให้สัญญาว่า จะพยายามมากขึ้นในการหยุดยั้งการไหลเวียนของสารเคมีที่ใช้ในการผลิตเฟนทานิล และยอมให้มีการไหลเวียนของแม่เหล็กหายากต่อไป
เจฟฟ์ มูน อดีตนักการทูตและเจ้าหน้าที่การค้าสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันบริหารบริษัทที่ปรึกษา ไชน่า มูน สเตรทเตอจี เห็นด้วยว่า ประเด็นขัดแย้งสำคัญจะยังไม่ได้รับการแก้ไข และสงครามบดขยี้ทางการค้าจะยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายปี
(ที่มา: เอพี/เอเจนซีส์)