เผยหญิงปาเลสไตน์อุ้มท้อง 7 เดือนพร้อมลูกชายวัยขวบกว่า ถูกสังหารคาเต็นท์ผู้อพยพ จากการหวนกลับมาถล่มโจมตีทางอากาศทั่วกาซาของกองทัพรัฐยิวในสัปดาห์นี้ ซึ่งผลาญชีวิตผู้คนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 500 คน มิหนำซ้ำอิสราเอลยังเริ่มปฏิบัติการภาคพื้นดิน และปิดล้อมพื้นที่ตอนเหนือดินแดนของชาวปาเลสไตน์นี้อีกครั้งหนึ่ง แถมรัฐมนตรีกลาโหมขู่สำทับว่าขอเตือนประชาชนกาซาเป็นหนสุดท้าย ให้รีบส่งคืนตัวประกันและขับไล่ฮามาส เพื่อแลกกับทางเลือกอื่นๆ ที่รวมถึงความเป็นไปได้ในการอพยพโยกย้ายไปอยู่ประเทศอื่น
ตามรายงานของสำนักข่าวเอพี อัฟนัน อัล-กานัม หญิงสาวชาวปาเลสไตน์วัย 20 ปี ได้ลูกชายคนแรกระหว่างสงครามในกาซาเมื่อ 13 เดือนที่แล้ว ขณะที่ครอบครัวของเธอยังอาศัยอยู่ในบ้านของตัวเองในเมืองราฟาห์ ทางตอนใต้สุดของกาซา
เธอมีกำหนดคลอดลูกคนที่สองในฤดูใบไม้ผลินี้ ทว่าครั้งนี้ครอบครัวของเธอต้องพำนักในเต็นท์ผู้อพยพพลัดถิ่นที่สภาพมอซอ ในย่านมูวาซี นอกเมืองข่านยูนิส ซึ่งอยู่ห่างราฟาห์ไม่ไกลนัก ถึงแม้อย่างน้อยครอบครัวของเธอยังมีช่วงเวลาที่ชีวิตค่อนข้างสงบสุขนานหลายสัปดาห์ จากข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวระหว่างกลุ่มฮามาสกับอิสราเอลซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่กลางเดือนมกราคม
แต่แล้วก่อนรุ่งสางของวันอังคาร (18 มี.ค.) เต็นท์ของครอบครัวนี้กลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายการโจมตีทางอากาศอีกรอบหนึ่งของอิสราเอล ทำให้อัล-กานัม ที่อุ้มท้อง 7 เดือน และโมฮัมเหม็ด ลูกชายวัย 13 เดือน เสียชีวิตทั้งคู่
แม่ลูกคู่นี้เป็นส่วนหนึ่งของชาวปาเลสไตน์กว่า 400 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กที่เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศทั่วกาซาเมื่อวันอังคาร ซึ่งอิสราเอลอ้างว่า เล็งเป้าหมายที่กลุ่มฮามาส เพื่อบีบให้ปล่อยตัวประกันและล่าถอยไปจากกาซา
อลา อาบู เฮลัล สามีของกัล-กานัม อุ้มร่างลูกชายตัวน้อยที่มีผ้าห่อไว้และพยายามกลั้นน้ำตา เขาบอกว่า ลูกชายเกิดมาท่ามกลางความยากลำบากในสงครามและตอนนี้ยังต้องมาพลีชีพในสงคราม พร้อมประณามอิสราเอลที่โจมตีพลเรือนบริสุทธิ์
เขาบอกว่า ตอนที่อิสราเอลโจมตี ตัวเขาเองกลับไปดูบ้านที่เมืองราฟาห์ หลังถูกบังคับให้อพยพออกมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมก่อนที่อิสราเอลจะจู่โจมเข้าสู่เมืองดังกล่าวจนพื้นที่จำนวนมากราบเป็นหน้ากลอง
การโจมตีทางอากาศของอิสราเอล เป็นการสะบั้นข้อตกลงหยุดยิงที่ดำเนินมาได้เกือบ 2 เดือน และอำนวยโอกาสให้ชาวปาเลสไตน์ในกาซาได้เริ่มต้นความพยายามฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ ภายหลังถูกอิสราเอลถล่มทางอากาศประสานกับปฏิบัติการภาคพื้นดิน จนแตกสานซ่านเซ็นและหิวโหยมายาวนาน 15 เดือน
ในวันพุธ (19) สำนักงานป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนของกาซาแถลงว่า ตั้งแต่ที่อิสราเอลกลับมาโจมตีทางอากาศขนานใหญ่ในช่วงกลางคืนจากคืนวันจันทร์จนถึงคืนวันอังคารย่างเข้าวันพุธ มีผู้คนในกาซาถูกสังหารไปแล้วอย่างน้อย 470 คน จากนั้นในวันพฤหัสบดี (20) เอพีรายงานโดยอ้างอิงพวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในท้องถิ่นกล่าวว่า การโจมตีของอิสราเอลในช่วงคืนวันพุธจนถึงเช้าวันพฤหัสฯ ทำให้มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตไปอีกอย่างน้อย 85 คน
หน่วยแพทย์สำทับว่า เป้าหมายการโจมตีของอิสราเอลคือบ้านเรือนจำนวนหนึ่งทางเหนือและใต้ของฉนวนกาซา
นอกจากนั้น อิสราเอลออกมาแถลงในวันพฤหัสฯ ว่า ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมากองทัพรัฐยิวยังได้ปฏิบัติการบุกภาคพื้นดินแบบกำหนดเป้าหมายเพื่อขยายพื้นที่กันชนที่แบ่งครึ่งกาซาระหว่างตอนเหนือและตอนใต้ ที่เรียกกันว่า พื้นที่ระเบียงเนตซาริม
อิสราเอลสั่งให้ชาวปาเลสไตน์อยู่ให้ห่างจากถนนซาลาฮุดดินซึ่งเป็นถนนสายหลักที่เชื่อมระหว่างตอนเหนือและตอนใต้ของกาซา และให้เลี่ยงไปใช้เส้นทางเลียบชายฝั่งแทน
ทางด้านกลุ่มฮามาส ที่อยู่ในสภาพอ่อนแอลงอย่างมาก ประณามว่า ปฏิบัติการรุกภาคพื้นดินและการจู่โจมเข้าสู่ระเบียงเนตซาริมของอิสราเอล เป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงนาน 2 เดือนที่น่าอันตรายครั้งใหม่ แต่ก็ยืนยันว่าทางกลุ่มยังยึดมั่นกับข้อตกลงหยุดยิงดังกล่าว พร้อมกับเรียกร้องให้คณะผู้ไกล่เกลี่ย ที่ประกอบด้วยอียิปต์และกาตาร์ ออกมาแสดงความรับผิดชอบ
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของกลุ่มติดอาวุธอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นพันธมิตรกับฮามาสเผยว่า นักรบกลุ่มต่างๆ ซึ่งรวมถึงฮามาส กำลังเตรียมพร้อมระดับสูงเพื่อรอคำสั่งเพิ่มเติม โดยได้รับคำแนะให้หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อระวังไว้ก่อน
ทั้งนี้ ข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวเฟสแรกสิ้นสุดลงเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยฮามาสต้องการเข้าสู่ข้อตกลงเฟสสองตามที่ตกลงกันไว้แล้ว ซึ่งอิสราเอลจะต้องเจรจาเพื่อยุติสงครามและถอนทหารออกจากกาซา โดยจะมีการแลกเปลี่ยนตัวประกันอิสราเอลกับนักโทษปาเลสไตน์
ทว่า อิสราเอลกลับเสนอให้ขยายข้อตกลงหยุดยิงเฟสแรกไปอีก พร้อมปิดกั้นการจัดส่งความช่วยเหลือเข้าสู่กาซา และประกาศฟื้นปฏิบัติการทางทหารเพื่อบีบให้ฮามาสปล่อยตัวประกัน
ในวันพุธ (19 ) อิสราเอล แคตซ์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล ประกาศผ่านวิดีโอที่เผยแพร่ไปยังประชาชนในกาซาระบุว่า นี่คือการเตือนครั้งสุดท้าย ขอให้ชาวปาเลสไตน์ปฏิบัติตามคำแนะนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ โดยรีบส่งคืนตัวประกันอิสราเอล และกำจัดกลุ่มฮามาส เพื่อแลกกับทางเลือกอื่นๆ ที่รวมถึงความเป็นไปได้ในการอพยพโยกย้ายไปอยู่ยังประเทศอื่น
(ที่มา : เอพี/รอยเตอร์/เอเอฟพี)