ก่อนรุ่งสางของวันอังคารที่ 18 มีนาคม กองกำลัง IDF ภายใต้คำสั่งบุกถล่มอย่างสาหัสและไม่ยั้งของรมต.กลาโหมคนใหม่ ฯพณฯ อิสราเอล แคทซ์ ได้ยิงระเบิดเข้าใส่พลเรือนปาเลสไตน์ที่กำลังเตรียมหุงหาอาหารที่มีอยู่น้อยนิดในช่วงถือศีลอดรอมฎอน ก่อนพระอาทิตย์จะทอแสงในเช้าวันอังคาร
3 เมืองใหญ่ของกาซาถูกยิงถล่มอย่างหนักไม่ลืมหูลืมตา ได้แก่ กาซา ซิตี้-เมืองใหญ่สุดตอนเหนือ; ข่านยูนิส-เมืองใหญ่ทางตอนกลาง; และราฟาห์-เมืองใหญ่ทางตอนใต้...ภายในไม่ถึง 24 ชม. ได้มีพลเรือนชาวปาเลสไตน์ถูกฆ่าตายถึง 424 คน ส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้หญิง ซึ่งการยิงถล่มอย่างหนักยังดำเนินต่อไปทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้มีผู้สูญหายยังหาศพไม่เจอฝังอยู่ใต้ซากอาคารอีกจำนวนมาก
ที่ว่าอาหารมื้อก่อนรุ่งสางที่จะเข้าสู่ช่วงถือศีลอดก็เพราะเป็นเวลา 17 วันเต็ม ตั้งแต่ 1 มีนาคม มีอิสราเอลเริ่มปิดกั้นอาหาร, น้ำ, ยา, เชื้อเพลิงที่จะเข้าไปในกาซาอีกครั้ง เพื่อกดดันให้ฮามาสต้องยอมตามข้อเสนอใหม่เปลี่ยนแปลงจากข้อตกลงหยุดยิงเดิม... โดยทางเนทันยาฮูและครม.สงครามอิสราเอลต้องการให้ขยายเวลาช่วงแรกของข้อตกลงหยุดยิงออกไปจนหมดเดือนมีนาคม...เพื่อชะลอเข้าสู่ช่วงสองของข้อตกลงที่กองทัพอิสราเอลและต้องถอนออกจากดินแดนกาซาทั้งหมด... โดยอิสราเอลอ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ ว่า ต้องการให้กองทัพ IDF ยังอยู่ในดินแดนกาซาต่อไป เพื่อปราบฮามาสให้หมดสิ้นก่อนจะไปสู่ขั้นตอนที่สองของข้อตกลงหยุดยิง
ขณะเดียวกัน ก็กล่าวหาฮามาสว่าละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่ฮามาสยังไม่ยอมปล่อยตัวประกันอีก 59 คนออกมา
ซึ่งฮามาสก็ยืนยันว่า ตัวประกัน 59 คนนี้จะมีการปล่อยตัวหมด ก็ต่อเมื่อกองกำลัง IDF ต้องถอนออกจากกาซาทั้งหมดก่อน…และมองว่า อิสราเอลกำลังซื้อเวลาและละเมิดข้อตกลงขั้นที่สองชัดๆ
การโจมตีแบบจู่โจมในเช้าตรู่ก่อนอาทิตย์ขึ้น ท่ามกลางการถือศีลอดของชาวปาเลสไตน์นี้ ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะปกติในช่วงรอมฎอนมักจะมีการหยุดยิงชั่วคราวในการสู้รบอื่นๆ ทั่วโลก เหมือนกับช่วงขอบคุณพระเจ้าหรือเทศกาลคริสต์มาสในศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนที่กำลังถือศีลสวดมนต์ภาวนา
ด้านทำเนียบขาวก็ได้ออกมายอมรับว่า ได้รับการปรึกษาจากรัฐบาลของเนทันยาฮู และทำเนียบขาวก็ได้ไฟเขียวให้ IDF โจมตีขั้นสาหัสและต่อเนื่องเพื่อระเบิดทำลาย 3 เมืองใหญ่ของกาซา (ที่ผู้คนชาวปาเลสไตน์เพิ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางโดยเท้า กลับไปยังที่พักบ้านเรือนของตนเอง) หลังถูกสั่งให้อพยพออกจากที่พักอาศัยเมื่ออิสราเอลบุก 3 เมืองใหญ่ของกาซา เพื่อบุกทำลายฮามาสตั้งแต่ 8 ตุลาคม 2566
รมต.กลาโหม แคทซ์และนายกฯ เนทันยาฮู ออกมาโกหกชาวอิสราเอลและชาวโลกว่า เขาต้องจู่โจมบุกยิงระเบิดทำลาย 3 เมืองใหญ่ของกาซา เพื่อทำลายนักรบฮามาสที่กบดานอยู่กับฝูงชน จึงไม่ได้มีการประกาศเตือนล่วงหน้า
ในบรรดาผู้นำที่โกหกต่อประชาชนของตนและต่อชาวโลก ต้องยกให้ปธน.ทรัมป์ เป็นอันดับหนึ่ง จนมีฉายาว่า Serial Liar (โกหกเป็นไฟ) ส่วนคนที่สองก็คือ นายกฯ เนทันยาฮู ที่มีฉายาว่า Magician (นักเล่นกลสลับขาหลอก)
เขาบอกกับชาวอิสราเอล, ชาวยิวทั่วโลกและชาวโลกทั้งปวง ว่าเป้าหมายอันดับหนึ่งที่เขารบและต้องการปราบนักรบฮามาสก็คือ การต่อสู้ทุกวิถีทางที่จะนำเอาตัวประกันชาวอิสราเอลกลับมาเป็นตัวเป็นๆ... ทุกคนทุกชนิดที่ถูกจับไป
แต่ความจริงคือ เป้าหมายหลักได้แก่ การต้องรบชนะฮามาสทุกวิถีทาง แม้จะต้องสูญเสียชีวิตตัวประกันก็ตาม (ตัวประกันหลายคนตายอยู่ในซากกองหินซีเมนต์ที่พังทลายจากอาคารพักอาศัยของชาวปาเลสไตน์ ที่ตัวประกันเหล่านี้ถูกพาตัวมาหลบซ่อนอยู่...ซึ่งกองกำลัง IDF ได้ยิงระเบิดทำลายแทบทุกอาคาร และทำให้ตัวประกันตายอย่างอนาถ)
หลักการที่ให้น้ำหนักความสำคัญของชีวิตตัวประกันน้อยกว่าชัยชนะการรบกับศัตรูนี้เป็นหลักการที่จอมทัพฮันนิบาล (Hannibal) ซึ่งทำสงครามกับกรุงโรมตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ได้ใช้เป็นหนึ่งในกฎเหล็กในการทำการรบ ซึ่งศึกษาอยู่ในแทบทุกวิทยาลัยการทหารของโลก…เรียกว่า Hannibal Code ซึ่งเน้นไม่ให้กองทัพยอมจำนนกับข้อเรียกร้องของข้าศึกที่จับตัวทหารของฝ่ายเราไปเป็นตัวประกัน หมายถึงให้มองข้ามชีวิตของตัวประกันไปได้ เพื่อกองทัพของฝ่ายเราจะได้ปฏิบัติการบุกข้าศึกโดยไม่ต้องคำนึงถึงตัวประกันของฝ่ายเราที่ถูกจับไป
ในวันที่ 7 ตุลาคม 2566 เมื่อนักรบฮามาสจู่โจมที่มหกรรมดนตรีในตอนเช้าตรู่ และนักรบฮามาสได้จับตัวประกันหนุ่มสาวที่เพิ่งงัวเงียตื่นขึ้นมาในเช้าวันเสาร์นั้น หลายคนถูกจับให้นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ เพื่อนำตัวข้ามฟากไปยังฝั่งกาซา...ปรากฏว่า กองกำลัง IDF ได้ส่งเฮลิคอปเตอร์ออกมาบินปฏิบัติการขัดขวางการบุกจู่โจมของนักรบฮามาส... ได้มีพยาน (ชาวอิสราเอล) บางคนได้เห็นเหตุการณ์ที่เฮลิคอปเตอร์ของ IDF ได้ยิงลงมายังภาคพื้นดิน เพื่อฆ่าทั้งนักรบฮามาสและตัวประกันชาวอิสราเอลที่นั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์...ซึ่งนี่เป็นไปตามหลักการ Hannibal Code นั่นเอง
ตลอด 18 เดือนก่อนการหยุดยิงชั่วคราว เนทันยาฮูได้โกหกครั้งแล้วครั้งเล่าว่า เขาให้น้ำหนักตัวประกันสำคัญที่สุดที่จะต้องนำกลับบ้านด้วยตัวเป็นๆ แต่เหล่าญาติๆ ของตัวประกัน รวมทั้งนสพ.ที่ค่อนข้างเสรี HAARETZ ได้ชี้ประเด็นว่า เนทันยาฮูไม่จริงใจในการช่วยชีวิตตัวประกัน…แม้แต่อดีตรมต.กลาโหม โยอาฟ กัลแลนต์ ก็ได้บอกกับนายกฯ เนทันยาฮู (หลังทำสงครามรุนแรงมาถึง 1 ปีแล้ว IDF ก็ยังไม่สามารถเอาชนะฮามาสได้) ว่า จะต้องเปลี่ยนมาใช้การเจรจา เพื่อนำเอาตัวประกันกลับคืนมา แทนที่จะยังเดินหน้าถล่มกาซาจนชาวกาซา (ส่วนใหญ่เด็กและผู้หญิง) ตายไป 4 หมื่นกว่าคน…ปรากฏว่าเนทันยาฮูไม่พอใจรมต.กลาโหมโยอาฟ และได้ปลดเขาออกทันที
ครั้งนี้ที่ IDF ภายใต้คำสั่งของนายกฯ เนทันยาฮู และรมต.กลาโหม แคทซ์ ที่สั่งให้ระเบิดทำลายชาวกาซาอย่างรุนแรง โดยละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และทำให้ญาติๆ ตัวประกันเกิดปฏิกิริยาทันทีว่า รัฐบาลอิสราเอลกำลังละทิ้งชีวิตของตัวประกัน ที่จะไม่มีโอกาสรอดแน่นอน โดยเนทันยาฮูกำลังเบี้ยวข้อตกลงหยุดยิง... ไม่พยายามเข้าสู่ขั้นตอนที่สองของข้อตกลง... เพราะรมต.คลังได้ขีดเส้นแดงเอาไว้แล้วว่า พรรคของรมต.คลัง สมอทริช จะลาออกทันทีที่เนทันยาฮูไปยอมเข้าสู่ขั้นตอนระยะที่สองกับฮามาส... ขณะเดียวกัน หลังบุกถล่มกาซาอย่างหนักในเช้าตรู่วันอังคาร...ปรากฏว่า อดีตรมต.เบน กวีร์ (ที่ได้เพิ่งยกทีมลาออกเมื่อเนทันยาฮูยอมเข้าสู่ขั้นตอนหยุดยิงขั้นแรก) ได้ประกาศทันทีจะกลับเข้าสู่ครม.สงครามอีกครั้งหนึ่ง