xs
xsm
sm
md
lg

PLANET#3 งานหยาบ! “แฮร์รี”รอดโทษเนรเทศ...ชั่วคราว หลังรัฐบาลมะกันช่วยปกปิดสุดลิ่ม ยังไม่เปิดเผยแบบฟอร์มขอวีซ่า ว่าปรินซ์แจ้งเท็จเรื่องพี้ยาไหม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


รัฐบาลอเมริกันให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษอย่างไม่ถูกต้องแก่ปรินซ์แฮร์รีหรือไม่ ในการอนุมัติวีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกา ทั้งที่ปรินซ์ทรงมีข้อต้องห้ามสำคัญ คือ ทรงเคยใช้ยาเสพติด ทั้งนี้ ปมปริศนาเรื่องความตรงไปตรงมาในการอนุมัติวีซ่าแก่ปรินซ์ สามารถส่งผลให้รัฐบาลอเมริกันมัวหมองในด้านความซื่อสัตย์ ในการนี้ สื่อยักษ์ของอังกฤษรายงานว่า สถาบันวิจัยเฮอริเทจ ฟาวน์เดชัน กล่าวหาว่าปรินซ์อาจจะเคยปกปิดเรื่องราวในอดีตที่เสพยาเสพติด ซึ่งเป็นข้อต้องห้ามซึ่งทำให้ปรินซ์ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับวีซ่า โดยท่านับแต่ที่ปรินซ์ทรงเล่าไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติเรื่อง Spare เมื่อต้นปี 2023 ว่าทรงเคยเสพทั้งโคเคน กัญชา และเห็ดหลอนประสาท สถาบันวิจัยเฮอริเทจได้รณรงค์อย่างชนิดที่กัดไม่ปล่อยในอันที่จะร้องขอให้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ นำแบบฟอร์มขอวีซ่าของปรินซ์แฮร์รีมาเปิดเผยต่อสาธารณชนว่า ทรงให้ข้อมูลเรื่องยาเสพติดไว้อย่างไรกันแน่ แต่ผลปรากฏว่าไม่ประสบความสำเร็จ
พลิกลิ้นอย่างสุดที่จะอัปยศกันเลยทีเดียว สำหรับกรณีที่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) ถูกศาลตัดสินว่า ภายในวันอังคารที่ 18 มีนาคม 2025 จะต้องเปิดเผยข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการที่ปรินซ์แฮร์รี เจ้าชายอังกฤษ ทรงยื่นขอวีซ่าเข้า USA เพื่อพำนักอาศัย แล้ว 2-3 ปีต่อมา ปรินซ์ทรงนำเรื่องการใช้ยาเสพติดไปเล่าไว้ในหนังสือ Spare ซึ่งกลายเป็นประเด็นใหญ่ขึ้นมาว่า พระองค์ทรงแจ้งเรื่องพี้ยาลงไปในแบบฟอร์มขอวีซ่าหรือไม่ เพราะถ้าพระองค์ทรงระบุว่าไม่เคยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดเพื่อที่จะให้ได้วีซ่า ก็เท่ากับว่าทรงแจ้งเท็จ แต่แล้วก็ปรากฏว่าเมื่อถึงวันเวลาเส้นตาย ก็เกิดปรากฏการณ์นัวร์ๆ และมั่วนิ่ม

โดย เดอะมิร์เรอร์ สื่อค่ายยักษ์ของอังกฤษ รายงานแบบที่สรุปได้ว่า นอกจากที่บรรดาเอกสารซึ่ง DHS นำมาเปิดเผย ถูกแก้ไขอย่างมหาศาล ทั้งในด้านการลดจำนวนเอกสาร และด้านการใช้แท็กติกขีดเส้นทับข้อความจนกระทั่งไม่สามารถอ่านได้ นั้น ยังมีการเบี้ยวกันซึ่งหน้า กล่าวคือ ในบรรดาเอกสารที่เปิดเผยกัน ไม่มีใบคำร้องขอวีซ่าของปรินซ์แฮร์รี

กล่าวง่ายๆ แบบค่ายบีบีซีก็คือว่า “ฟอร์มวีซ่าของเจ้าชายแฮร์รี มิได้ถูกเปิดเผย”

ดังนั้น ปริศนาสำคัญที่สาธารณชนเฝ้ารอคำเฉลย ก็เลยเป็นอะไรที่ “แสนจะปกปิด & สุดๆ จะลึกลับ” สืบเนื่องต่อไปเป็นปีที่ 3

ด้วยเหตุนี้ “สถาบันวิจัยเฮอริเทจ ฟาวน์เดชัน” ซึ่งร้องขอให้ DHS นำแบบฟอร์มวีซ่าของเจ้าชายแฮร์รีมาเปิดเผยต่อสาธารณชน (โดยอ้างอิงกฎหมายว่าด้วยสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล) จึงชี้ว่า DHS ยอมให้สิทธิ์ของปรินซ์ที่จะรักษาความเป็นส่วนตัว มีน้ำหนักเหนือผลประโยชน์ของสาธารณชนที่ต้องการพิสูจน์ทราบ ถึงความลับลมคมในของรัฐบาลอเมริกัน (ทั้งรัฐบาลทรัมป์ 1.0 แห่งพรรครีพับลิกัน และรัฐบาลไบเดนแห่งพรรคเดโมแครต จดจนรัฐบาลทรัมป์ 2.0) ว่าอาจมีการช่วยปกปิดความผิดของปรินซ์แฮร์รีหรือไม่

นั่นคือ ในตอนที่ยื่นคำร้องขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ เมื่อช่วงที่พระองค์กับเมแกน มาร์เคิล ย้ายถิ่นฐานมาปักหลักในรัฐแคลิฟอร์เนียในปี 2020 นั้น พระองค์ทรงได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษจากรัฐบาลอเมริกันหรือไม่ จึงทรงได้รับอนุมัติวีซ่าทั้งๆ ที่เคยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาก่อน อันเป็นข้อต้องห้ามอย่างฉกรรจ์

เดอะมิร์เรอร์เป็นหนึ่งในหลากหลายสื่อมวลชนบนสองฟากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่ตั้งประเด็นคมกริบนี้ไว้ทั้งในทางตรงและในทางอ้อม

มิใช่แต่เท่านั้น แซม ดิวอี้ ทนายความของสถาบันวิจัยเฮอริเทจฯ กล่าวเป็นนัยถึงผลประโยชน์ที่เข้าไปพัวพันในเรื่องนี้ โดยกล่าวหาว่าปรินซ์แฮร์รีได้สิทธิพิเศษ และระบุว่าพระองค์ได้รับสิทธิพิเศษจากความมั่งคั่งของพระองค์และจากหัวโขนเจ้าชายที่พระองค์ครองอยู่ เดอะการ์เดียน สื่อทรงอิทธิพลซึ่งเอียงซ้ายและไม่เอาเจ้า รายงานอย่างนั้น

และแล้วก็กลายเป็นปาหี่แห่ง “รัฐบาลทรัมป์และการละคร” สมกับที่ฝ่ายต่างๆ คาดกันไว้อย่างแท้จริง เพราะตัวเอกสารหลักที่ชาวโลกปรารถนาจะจับโป๊ะกระทรวง DHS ก็ยังถูกปกปิดไว้เหมือนเดิม ทั้งที่ว่าในเรื่องอย่างนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์สามารถออกคำสั่งให้เปิดข้อมูลได้โดยตรง ในการนี้ ทนายความของสถาบันวิจัยเฮอริเทจ กล่าวเป็นนัยถึงผลประโยชน์ที่เข้าไปพัวพันในเรื่องวีซ่าอัปยศของปรินซ์แฮร์รี โดยกล่าวหาว่าปรินซ์แฮร์รีได้สิทธิพิเศษ และระบุว่าพระองค์ได้รับสิทธิพิเศษจากความมั่งคั่งของพระองค์และจากหัวโขนเจ้าชายที่พระองค์ครองอยู่ อนึ่ง ปรินซ์แฮร์รีทรงเล่าไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติเรื่อง Spare ว่าพระองค์ได้รับความช่วยเหลือจากเมนเทอร์ของพระองค์ ในการพัฒนาระดับพลังจิตให้ทำงานพิเศษได้หลายประการ ดังนั้น พระรูปหลายบานของปรินซ์จะปรากฏสีหน้าแววตาเหล่านี้
กรณีวีซ่าของปรินซ์แฮร์รีถูกปกป้องไว้ได้ตลอดตั้งแต่ปี 2023 ยุคของ รบ.ไบเดน จดจนปี 2025 ปรินซ์ก็ยังได้รับการปกป้องพิเศษสุดๆ จาก รบ.ทรัมป์ 2.0 พระราชวงศ์อังกฤษคือแฮปปี้มาก ได้อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ

ไม่นานนักหลังจาก Spare - หนังสือของปรินซ์แฮร์รีที่ทรงเปิดเผยว่าพระองค์ทรงเสพยามัวเมาต่างๆ ทั้งโคเคน กัญชา และเห็ดหลอนประสาท ถูกวางตลาดแบบเซลส์กระหน่ำ 50% ตั้งเดือนมกราคม 2023 อันเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาลทรัมป์ 1.0 นั้น สถาบันวิจัยเฮอริเทจ ฟาวน์เดชัน ได้ออกรณรงค์เพื่อพิสูจน์ทราบว่าในเมื่อปรินซ์ทรงเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่างมากมายและต่อเนื่องปานนั้น พระองค์สามารถขอวีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกาได้อย่างไร เพราะปมยาเสพติดเป็นข้อต้องห้ามร้ายแรง ซึ่งผู้คนมากมายจากหลายประเทศถูกปฏิเสธวีซ่ามานักต่อนักแล้ว

ธงหลักของสถาบันวิจัยอันทรงเกียรติและโด่งดังแห่งนี้อยู่ในจุดที่จะขอให้กระทรวงการต่างประเทศแห่งสหรัฐฯ อีกทั้งหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ นำใบคำร้องขอวีซ่าของปรินซ์แฮร์รีมาเปิดเผยว่า ปรินซ์แฮร์รีให้ข้อมูลเรื่องการใช้ยาเสพติดไว้อย่างไรกันแน่

ทั้งนี้ หากปรินซ์ทรงกรอกว่าทรงไม่เคยมีประสบการณ์ด้านยาเสพติดใดๆ และจึงสามารถผ่านเข้าเมืองได้อย่างฉลุย มาถึงตอนนี้ที่ทรงเล่าไว้อย่างละเอียดในหนังสือ Spare ถึงการใช้ยาเสพติด พระองค์ย่อมจะต้องถูกเนรเทศโดยด่วน เพราะการกรอกข้อมูลอันเป็นเท็จ เป็นความผิดทางอาญา

ส่วนถ้าปรินซ์ทรงกรอกข้อมูลว่าทรงมีประสบการณ์ด้านยาเสพติดมาในระดับหนึ่ง ในการนี้ แม้จะทรงเลิกราไปแล้วอย่างเนิ่นนาน ทางการสหรัฐฯ ก็จะต้องไม่อนุมัติวีซ่า เฉกเช่นที่ได้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดต่อชาวโลกมาโดยตลอด

กระนั้นก็ตาม ในเมื่อได้มีการอนุมัติวีซ่ากันเรียบร้อย ประมาณว่าข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปหลายรอบแล้ว รัฐบาลอเมริกันจะอธิบายอย่างไรที่จะไม่ทำให้ตกเป็นจำเลยสังคมว่า ได้มีมอบความเอื้อเฟื้อพิเศษสุดแก่เจ้าชายจากอังกฤษ ด้วยการยกเว้นบังคับใช้กฎหมายกันมาตั้งแต่ปี 2020 ด้วยเหตุผลอะไร มีผลประโยชน์แอบแฝงอันไม่ถูกต้องหรือไม่ เหนืออื่นใด ชาวโลกที่ไม่ได้รับการยกเว้นดังเช่นปรินซ์ผู้อื้อฉาวพระองค์นี้ จะนำสถานการณ์เลือกปฏิบัติมาฟ้องร้องเล่นงานรัฐบาลอเมริกันอย่างมหาศาลหรือไม่และเพียงใด

ภาพเป็นข่าวของปรินซ์แฮร์รีขณะเมายา เมื่อกลับออกจากกุ๊กคูคลับในเวลาดึกดื่นค่อนคืน ในเดือนสิงหาคม 2006 ทั้งนี้ ปรินซ์แฮร์รีทรงเล่าไว้ใน Spare ว่าทรงเสพโคเคนมาตั้งแต่วัย 17 ปี พร้อมกับเล่าถึงการใช้กัญชาและเห็ดหลอนประสาท “มันไม่สนุกมากมาย และไม่ทำให้รู้สึกมีความสุขเป็นพิเศษเหมือนที่คนอื่นรู้สึกกัน แต่มันทำให้รู้สึกแตกต่าง และนั่นเคยเป็นสิ่งสำคัญที่ผมต้องการ: การได้รู้สึก และการได้แตกต่าง เอพีรายงานอย่างนั้น
ด้วยเหตุที่การเคลื่อนไหวของสถาบันวิจัยเฮอริเทจ อิงอยู่กับสิทธิตามพระราชบัญญัติที่เปิดทางให้ภาคเอกชนเข้าถึงข้อมูลของภาครัฐได้ ในกรณีที่ส่อเค้าว่ามีความไม่ถูกต้องเกิดขึ้นและมีการปกปิด

ดังนั้น ในท่ามกลางการวิเคราะห์ของสื่อค่ายใหญ่ยักษ์ต่างๆ อาทิ เดลิเมลออนไลน์ ว่ารัฐบาลของโจ ไบเดน เป็นดั่งโล่ห์พิทักษ์ให้แก่พระราชโอรสพระองค์เล็กของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 สถาบันวิจัยเฮอริเทจได้ทำการรณรงค์ต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวมาสองปีกว่า แบบที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ให้แก่การตะแบงของทางการ แม้จะเผชิญกับการปฏิเสธที่จะเปิดเผย “ใบคำขอวีซ่าของปรินซ์ที่สุดยอดท็อปซีเคร็ด” ด้วยข้ออ้างอันไม่สมด้วยเหตุผล ทั้งที่ก็โจ่งแจ้งว่ามองไม่เห็นวี่แววที่จะตรงไปตรงมาได้

อาทิ การอ้างว่าคำบอกเล่าในหนังสืออัตชีวประวัติอาจไม่ใช่เรื่องจริง อาจเป็นแค่แท็กติกในการโปรโมทหนังสือ ตลอดจนการอ้างว่าเรื่องวีซ่าของปรินซ์ผู้อื้อฉาว มิได้อยู่ในความสนใจของสาธารณชนมากมายอะไร!!

ในเดือนมิถุนายน 2023 กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) ปฏิเสธสถาบันวิจัยเฮอริเทจที่ขอให้เปิดเผยใบคำร้องขอวีซ่าของปรินซ์แฮร์รี ว่ามีการแจ้งเท็จเกี่ยวกับการที่เคยใช้ยาเสพติดมาก่อนหรือไม่ ดังนั้น สถาบันวิจัยเฮอริเทจจึงฟ้องศาลขอให้ออกคำสั่งไปยัง DHS

ในเดือนกันยายน 2024 ผู้พิพากษาคาร์ล นิโคลส์ ออกคำตัดสินว่า ให้เก็บเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการขอวีซ่าไว้ก่อน ซึ่งแน่นอนว่าสถาบันวิจัยเฮอริเทจำม้ดำเนินการอุทธรณ์

วี่แววแนวโน้มส่อเค้าจะเปลี่ยนทิศทางในเดือนพฤศจิกายน 2024 เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยสื่อมวลชนทั้งปวง รวมทั้งค่ายเดลิเมลออนไลน์ พากันวิเคราะห์และทำนายว่าเอกสารเกี่ยวกับการขอเข้าเมืองที่ปรินซ์แฮร์รีทรงยื่นไว้ในปี 2020 อาจถูกนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชนได้เสียที เพราะประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะหมดวาระในต้นเดือนมกราคม 2025 และเพราะความสัมพันธ์เกื้อกูลกันระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ กับสถาบันวิจัยเฮอริเทจ คือเหนียวแน่นมายาวนาน

ที่สำคัญเหนืออื่นใด คือ ท่าทีของโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อปรินซ์แฮร์รี ดยุกแห่งซัสเซกซ์ กับพระชายาเมแกน ไม่โอเคอย่างยิ่งในระดับที่เรียกได้ว่า เป็นไม้เบื่อไม้เมากันขั้นสุด หลังจากที่ เมแกน มาร์เคิล พูดจาถอนหงอกโดนัลด์ ทรัมป์ ไว้ในหลายกรรมหลายวาระ และจึงมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่ปรินซ์จะทรงถูกเช็กบิล

ในการนี้ เดลิเมลออนไลน์ นำเสนอถ้อยคำที่ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวถึงดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ในช่วงระหว่างปี 2020 - 2024 ไว้เป็น 3 ห้วง ได้แก่

ในเดือนกันยายน 2020: ผมไม่ใช่แฟนคลับของเมแกน ซึ่งเธออาจเคยได้ยินมาแล้ว แต่ผมส่งความปรารถนาดีให้ปรินซ์แฮร์รีจงมีโชคเยอะๆ เพราะพระองค์จะทรงต้องการโชคเข้าไปช่วย

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024: ผมจะไม่ปกป้องปรินซ์แฮร์รี พระองค์ทรงทรยศต่อควีนเอลิซาเบธ นี่เป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้เลย เพราะเมื่อปมปัญหาของพระองค์ตกสู่มือผม พระองค์ก็ต้องเอาตัวรอดไปโดยลำพัง

ในเดือนมีนาคม 2024: เราต้องดูให้ดีเลยว่าพวกนั้นทราบเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติดของปรินซ์แฮร์รีหรือไม่ และหากพระองค์แจ้งเท็จ พวกนั้นจะต้องดำเนินการอย่างเหมาะสม

เดอะซัน สื่อค่ายใหญ่ยักษ์ผู้ทรงอิทธิพลอย่างยิ่งของอังกฤษ (ด้านขวาสุดของภาพ) นำเนื้อหาตอนหนึ่งในหนังสืออัตชีวประวัติเรื่อง Spare ไปพาดหัวข่าวหน้า 1 ว่าปรินซ์แฮร์รีทรงเล่าเอง: “ผมเสพโคเคนและกัญชา” ที่ผ่านมา ปรินซ์แฮร์รีในวัยที่ยังทรงพี้ยาเสพติดอยู่ จะทรงเสียงแข็งเสมอว่าสื่อมวลชนใส่ร้ายป้ายสีว่าพระองค์ใช้ยาเสพติด
การ“พลิกลิ้น” อุบัติขึ้นที่ทรัมป์ ตั้งแต่ก.พ. 2025 ก่อนที่ “ปาหี่วีซ่าปรินซ์” จะอุบัติในกลางมี.ค. 2025 แม้ไม่อาจฟันธงว่า ใครได้อะไรจากปาหี่นี้ แต่ถ้าไม่มีใครได้ประโยชน์ แล้วจะมีการโหมกระแสขึ้นมาทำไม!!

แม้ โดนัลด์ ทรัมป์ จะพูดจาเล่นงานปรินซ์แฮร์รีกับพระชายาเมแกน (ซึ่งกลายเป็นตัวผู้ร้ายกู่ไม่กลับในสายตาของคนอเมริกันจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีของดัชเชสเมแกนแห่งซัสเซกซ์ ซึ่งถอนหงอกโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยคำปรามาสฉกรรจ์ อาทิ ทรัมป์สร้างความแตกแยกในประเทศ และทรัมป์เป็นคนที่เหยียดหยามผู้หญิง ท่าทีต่างๆ ของเมแกนทำให้ชายชราวัยไม้ใกล้ฝั่งทั้งโกรธและทั้งเกลียดเธอ กระทั่งว่าเธอถูกเกลียดโดยแฟนานุแฟนของปู่ทรัมป์) อย่างดุเดือดในปีหาเสียง 2024 เพื่อชิงชัยเก้าอีประธานาธิบดี

กระนั้นก็ตาม สื่อมวลชนย้ำบ่อยๆ ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นนักธุรกิจ และเป็นนักเจรจาต่อรองผู้มีลูกเล่นแพรวพราว มีจังหวะจะโคนมากมายในอันที่จะบีบเอาผลประโยชน์จากฝ่ายตรงข้าม

ด้วยเหตุนี้ ท่าทีแนวพยาบาทแกมข่มขู่ที่ทรัมป์แสดงออกในปี 2024 ซึ่งเป็นห้วงแห่งการพูดเพื่อดึงดูดคะแนนเสียง จึงหายไป และกลายเป็นบรรยากาศรอมชอมแกมประชดประชันในปี 2025 เมื่อทรัมป์เข้ายึดครองทำเนียบขาวเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ก็เริ่มมีการเอ่ยถึงปรินซ์แฮร์รี ในสไตล์ดอกพิกุลสวยๆ ร่วงออกจากสองเรียวปากของปู่

โดยเดลิเมลออนไลน์รายงานแนวโน้มนี้ไว้ตรงๆ เมื่อวานนี้ (19 มีนาคม 2025) ว่า

“มีการเก็งกันว่าโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเตะโด่งปรินซ์แฮร์รีให้พ้นไปจากสหรัฐฯ เพราะท่านประธานาธิบดีกล่าวไว้ในปีที่แล้ว ว่าจะไม่ปกป้องปรินซ์

“แต่ในเดือนที่ผ่านมา (กุมภาพันธ์ 2025) ทรัมป์เปลี่ยนโทนการพูดถึงปรินซ์แฮร์รี และบอกว่า จะไม่เนรเทศปรินซ์แฮร์รี - เพราะพระชายยาของพระองค์เป็นคนที่แย่มาก

“โดยประธานาธิบดีทรัมป์พูดกับนิวยอร์กโพสต์ว่า จะให้ปรินซ์ได้พัก เพราะพระองค์เผชิญปัญหาจากพระชายาไปหนักหนาเพียงพอแล้ว”


พอมาถึงวันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม 2025 ก็เกิดเป็นข่าวฮือฮาว่าผู้พิพากษาคาร์ล นิโคลส์ ออกคำตัดสินที่เป็นคุณแก่สถาบันวิจัยเฮอริเทจ โดยสั่งไปยังกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิว่า ให้ทำการเปิดเผยเอกสารที่เกี่ยวข้องกับวีซ่าของปรินซ์แฮร์รี ภายในวันอังคารที่ 18 มีนาคม เอ็นบีซีนิวส์ รายงาน (หลังจากที่สรุปไว้ในเดือนกันยายนว่า ให้เก็บเอกสารไว้ก่อน)

นักวิเคราะห์พากันเตือนไว้เบาๆ ว่าแม้จะสั่งให้เปิดเผยเอกสารที่เกี่ยวข้อง แต่ตัวใบคำขอวีซ่าที่สาธารณชนต่างรอคอยด้วยใจจดจ่อ อาจจะไม่ถูกเปิดเผย

ฝ่ายต่างๆ ต้องรอคอยความเคลื่อนไหวจากกระทรวง DHS เกือบตลอดทั้งเก้าชั่วโมงทำการของภาครัฐ กว่าที่จะมีการนำเอกสารออกมาเปิดเผย

และแล้วก็กลายเป็นปาหี่แห่ง “รัฐบาลทรัมป์และการละคร” สมกับที่คาดกันไว้จริงๆ เพราะตัวเอกสารหลักที่ชาวโลกปรารถนาจะจับโป๊ะกระทรวง DHS ก็ยังถูกปกปิดไว้เหมือนเดิม ทั้งที่ว่าในเรื่องอย่างนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์สามารถออกคำสั่งให้เปิดข้อมูลได้โดยตรง

เดอะมิร์เรอร์รายงานตั้งแต่ค่ำวันอังคารที่ 18 มีนาคม ว่าเอกสารที่นำมาเปิดเผยมีการแก้ไขอย่างมหาศาลทั้งในด้านของจำนวน และในด้านของแท็กติกการป้ายสีทับข้อความ พร้อมกันนี้ ใบคำร้องที่ปรินซ์แฮร์รีทรงกรอกข้อมูลเพื่อขอวีซ่านั้น ไม่ปรากฏในบรรดาเอกสารที่นำมาเปิดเผย

พร้อมนี้ มีการอธิบายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปยังผู้พิพากษาว่าด้วยข้อจำกัดที่ทำให้ไม่เหมาะสม หากจะนำใบคำร้องขอวีซ่าออกมาเปิดเผย และหากไม่มีการขีดแถบดำทับข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ว่า การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวออกสู่สาธารณชน อาจส่งผลให้ปรินซ์แฮร์รีได้รับอันตรายในรูปของการถูกรบกวนรังควาญโดยสื่อมวลชนและฝ่ายอื่นๆ คำอธิบายนี้ปรากฏออกมาทั้งๆ ที่ปมหลักของเรื่องเป็นปมปัญหาว่ามีการให้ข้อมูลเท็จไว้ในแบบฟอร์มขอวีซ่าหรือไม่

ปาหี่ที่เกิดขึ้นในรูปแบบที่โหมกระแสว่าจะต้องเปิดข้อมูลกัน แล้วปิดฉากด้วยการเปิดข้อมูลแบบที่แทบจะไม่มีข้อมูลอันใดถูกเปิดเผยเลยนี้ ถูกตั้งคำถามกันว่าผู้ใดได้อะไรจากการสับขาหลอกสาธารณชนในห้วงแปดชั่วโมงกว่าๆ ของวันดีเดย์ที่ฝ่ายต่างๆ รอคอย คำตอบอยู่ในเสียงกระซิบหลังไมโครโฟน และคำบอกใบ้จากแซม นิโคลส์ ทนายความของสถาบันวิจัยเฮอริเทจที่ว่า มีการใช้ประโยชน์จากความมั่งคั่งและหัวโขนพระราชตระกูล

แต่ถ้าเป็นคำถามว่าผู้ใดจะเสียประโยชน์จากปาหี่นี้ ก็สามารถตอบกันตามเนื้อผ้าได้ว่า ผู้เสียประโยชน์ประกอบด้วยพระครอบครัวซัสเซกซ์ ตลอดจนผู้ที่มีส่วนได้เสียกับเดอะซัสเซกซ์ทั้งกลุ่มที่อยู่หน้าฉากและกลุ่มที่อยู่หลักฉาก นอกจากนั้น ก็ต้องไม่ลืมพระราชตระกูลแห่งอังกฤษซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องระวังป้องกันไม่ให้เกิดข่าวเสื่อมเสียมากกว่าที่เคยอื้อฉาวไปมากมายแล้ว

ภาพเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับการขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ ที่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมินำมาเปิดเผยต่อสาธารณชน ซึ่งสื่อรายงานว่าเอกสารถูกแก้ไข เพราะเต็มไปด้วยการขีดแถบสีดำเพื่อปกปิดข้อความ ผู้คนพากันขรำสุดๆ ว่าจะเหลือข้อมูลอะไรให้ได้รับทราบล่ะนี่

รายการชำแหละข่าวเด่นอย่าง Morning Glory with MIKE GRAHAM ของช่อง Talk TV ที่มี ไมค์ แกรห์ม (ซ้าย) เป็นโฮสต์ และมี คินซี สโคฟิลด์ (ขวา) เป็นนักวิเคราะห์เข้าร่วมเล่าข่าวแบบเจาะลึกและเล่าสนุก มาตั้งคำถามสำคัญในวันที่ 19 มีนาคม 2025 ว่าด้วยการที่รัฐบาลอเมริกันจริงจังอย่างยิ่งกับการปกป้องพระราชวงศ์อังกฤษ โดยจั่วหัวด้วยคำถามบาดใจว่า ทำไมปรินซ์แฮร์รีจึงควรจะได้รับความเอื้อเฟื้อพิเศษจากทางการ US ทั้งนี้ มีการเข้าไปดูมากกว่า 1 แสนครั้งภายในเวลาไม่ถึง 1 วัน
“ทำไมปรินซ์แฮร์รีทรงควรจะได้รับการดูแลพิเศษ” Talk TV ตั้งปุจฉา

“ดยุกแห่งซัสเซกซ์อาจได้รับอันตรายในรูปของการถูกรบกวนรังควาญโดยสื่อมวลชนและฝ่ายอื่นๆ หากข้อมูลวีซ่าของปรินซ์ถูกเปิดเผยสู่สายตาสาธารณชน หน่วยงานรัฐบาลแจ้งต่อผู้พิพากษาไปอย่างนั้น และผู้พิพากษาก็ออกคำตัดสินไปเมื่อปีที่แล้วว่าแบบฟอร์มที่ปรินซ์ขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ นั้น สมควรจะเก็บให้เป็นเรื่องส่วนพระองค์ไปก่อน แม้ตัวปรินซ์เองได้ประกาศไปทั่วผ่านหนังสือเรื่อง Spare ว่าพระองค์ใช้ยาเสพติด

“ด้านสถาบันวิจัยเฮอริเทจซึ่งมีฐานอยู่ในกรุงวอชิงตันระบุว่า ตามข้อมูลของปรินซ์ว่าทรงเสพทั้งโคเคน กัญชา และเห็ดหลอนประสาทนั้น ควรจะนับว่าชัดเจนเพียงพอแล้วที่จะต้องพิสูจน์กัน ด้วยการเปิดเอกสารที่ปรินซ์ทรงยื่นไว้ในปี 2020” ผู้เชี่ยวชาญการพระราชวงศ์แห่งรายการ Talk TV ในอังกฤษสรุปประเด็นถกเถียงไว้อย่างนั้น


โดยคินซี สโคฟิลด์ หนึ่งในสองผู้เชี่ยวชาญแชร์ข้อมูลจากซามูแอล ดิวอี้ ว่ามีสิ่งชี้บ่งอยู่ในเอกสารว่าปรินซ์แฮร์รีทรงแจ้งเท็จไว้ และทรงไม่ได้เปิดเผยว่าเคยใช้ยาเสพติดมาก่อน หรืออาจเป็นได้ว่าตอนที่พระองค์ยี่นคำร้องขอวีซ่าเข้าพำนักในสหรัฐฯ นั้น ทรงใช้แบบฟอร์ม 01วีซ่า ซึ่งจะอนุมัติวีซ่าให้แก่บุคคลที่มีความสามารถพิเศษอันเป็นกรณีที่สมควรจะได้รับยกเว้น

ด้านไมค์ แกรมห์ พิธีกรหลักของ Talk TV สำทับว่า แหม นั่นมันคือการฉ้อโกงกันเลยทีเดียว แล้วมันก็ตลกมากที่พูดกันว่ามีการแก้ไขมากมาย เพราะมันแทบจะไม่มีอะไรให้อ่านเลย ในเมื่อเอกสารพวกนี้ถูกขีดแถบดำทับตัวหนังสือขนาดนั้น บางหน้าถูกแถบดำปิดไปหมดทั้งหน้า แล้วที่ผู้พิพากษาคาร์ล นิโคลส์ บอกว่าต้องปกป้องความเป็นส่วนตัวของปรินซ์แฮร์รี เพราะอาจมีสื่อมวลชนเข้าไปรุกรานปรินซ์ แต่ทำไมพวกนั้นต้องแห่กันไปปกป้องปรินซ์แฮร์รีถ้ามีการแจ้งเท็จอยู่ในนั้น

คินซี สโคฟิลด์ ตอบด้วยมุกเสียดสีว่า สมมุติว่าปรินซ์แฮร์รีกำลังเมาเห็ดหลอนประสาทที่พระองค์เล่าไว้ในหนังสือ Spare แล้วดูเอกสารถูกขีดแถบดำปิดข้อความจนพรึ่บไปหมด พระองค์อาจจะบอกว่ามีผีเสื้อบินอยู่ในกระดาษ แล้วคินซี สโคฟิลด์ชี้ประเด็นดังนี้

“ก็คงต้องมาถามกันว่าอะไรคือการคุกคามรังควาญโดยสื่อมวลชนกันแน่ เพราะส่วนใหญ่ไม่คิดว่าเป็นการคุกคามรังควาญ ในเมื่อได้เห็นอยู่ว่ามีการปกปิดให้แก่ปรินซ์ หากพระองค์แจ้งเท็จไว้ในแบบฟอร์มขอวีซ่า”

ในที่สุด การสนทนาข่าวของสองผู้เชี่ยวชาญสรุปลงด้วยถ้อยคำของไมค์ แกรมห์ ดังนี้

นี่แหละเราต้องถามว่าทำไมปรินซ์จึงควรได้รับการดูแลพิเศษ ถ้าใบคำร้องขอวิซ่ามีการแจ้งแท็จ ทำไมเราไม่ควรได้รับอนุญาตให้เห็นเอกสาร นี่เป็นเรื่องของบันทึกสาธารณะ แต่ปรินซ์แฮร์รีก็บ่นงอแงว่า ผมเป็นกรณีพิเศษ ผมต้องได้รับการปกป้องไม่ให้ถูกสื่อมวลชนเข้าไปรบกวน ในความไม่ซื่อตรงอันนี้

ส่วนสำหรับอนาคตที่ต้องจับตา คือ การตีปี๊บสร้างกระแสคุกคามที่จะเปิดเผยแบบฟอร์มขอวีซ่าของปรินซ์แฮร์รี จะรีเทิร์นมาอีกเมื่อใดในอันที่จะหลอนให้ผวาว่าพระราชโอรสของกษัตริย์ชาร์ลส์จะต้องถูกเนรเทศพ้นแผ่นดินยูเอสเอ

ดัชเชสเมแกนและปรินซ์แฮร์รี ถูกปู่โดนัลด์ ทรัมป์ ชิงชังอย่างที่สุด เพราะทั้งสองมีความสนิทสนมมากมายกับผู้คนของพรรคเดโมแครต ซึ่งรวมถึงการมอบทุนสนับสนุนนักการเมืองบางรายของค่ายสีน้ำเงิน แต่ที่ยิ่งกว่านั้น ดัชเชสเมแกนมีการถอนหงอกปู่ทรัมป์ในหลายกรรมหลายวาระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปรามาสว่าทรัมป์สร้างความแตกแยกในสหรัฐฯ และทรัมป์เป็นพวกหมั่นไส้เกลียดชังผู้หญิง  แต่แล้ว ในไตรมาสแรกของปี 2025 ทรัมป์ก็เกิดจะละเลิกออกจากแนวทางข่มขู่คุกคามที่จะอัปเปหิปรินซ์ให้พ้นจากสหรัฐฯ ก่อนจะพีคด้วยปาหี่การเคลื่อนไหวจะเปิดเอกสารสำคัญเกี่ยวกับการขอวีซ่า ที่ลงท้ายกลายเป็นปรากฏการณ์ขู่ๆ หลอกๆ ที่ไม่มีอะไรในกอไผ่ แต่ทว่า ถ้าไม่เป็นไปตามกำหนด แบบฟอร์มขอวีซ่าของปรินซ์แฮร์รีก็จะถูกเปิดเผยออกมาว่าความนัวร์ทั้งปวงอุบัติขึ้น ณ จุดใดกันแน่
คอลัมน์ PLANET No.3

โดย รัศมี มีเรื่องเล่า


(ที่มา: เดอะมิร์เรอร์ บีบีซี เอ็นบีซีนิวส์ เดอะการ์เดียน เดลิเมลออนไลน์ เอพี Talk TV)

กำลังโหลดความคิดเห็น