ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา เจค ซัลลิแวน เข้าพบประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในกรุงปักกิ่งวันพฤหัสบดี (29 ส.ค.) เป็นการปิดฉากการเยือนจีนเป็นเวลา 3 วันของเขาเพื่อพยายามผ่อนคลายสถานการณ์ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างสองชาติมหาอำนาจ ก่อนหน้าการเลือกตั้งในอเมริกาต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ทั้งนี้ แม้ไม่ได้มีการทำข้อตกลงอะไรใหม่ๆ แต่ก็แผ้วถางทางให้ สี กับ ไบเดน นัดคุยโทรศัพท์กันในช่วงไม่กี่อาทิตย์ถัดจากนี้
ระหว่างการพบปะพูดจากันที่มหาศาลาประชาชนในวันพฤหัสฯ (29 ส.ค.) สี บอกกับ ซัลลิแวน ว่า ปักกิ่งมุ่งมั่นรักษาความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับวอชิงตัน และสำทับว่า ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงและสับสนอลหม่าน ประเทศต่างๆ ต้องสามัคคีและร่วมมือกัน ไม่ใช่ตัดขาดหรือถอยห่างจากกัน
ด้านซัลลิแวนกล่าวกับผู้นำจีนว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มุ่งมั่นในการจัดการความสัมพันธ์เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง และเฝ้ารอที่จะได้พูดคุยกับสีในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
ทำเนียบขาวแถลงในเวลาต่อมาว่า อเมริกาและจีนกำลังเตรียมการสำหรับการหารือทางโทรศัพท์ระหว่างสีกับไบเดนในเร็วๆ นี้
ด้านซัลลิแวนก็ได้เปิดเผยกับพวกผู้สื่อข่าวว่า ระหว่างการเยือนแดนมังกรของเขาคราวนี้ ซึ่งมีการเจรจากับเจ้าหน้าที่จีนหลายๆ รายรวมแล้วเป็นเวลา 14 ชั่วโมงนั้น ทั้งสองฝ่ายได้พูดกันในประเด็นต่างๆ ที่กำลังเป็นตัวทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างกันเกิดความยุ่งยากซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความตึงเครียดเกี่ยวกับไต้หวัน ทะเลจีนใต้ และรัสเซีย รวมทั้งการที่สหรัฐฯ เรียกร้องให้จีนช่วยเหลือมากขึ้นในการสกัดกั้นพวกส่วนผสมในการผลิตยาเฟนทานิล ซึ่งกำลังกลายเป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดของปัญหาการเสพติดยาเกินขนาดในสหรัฐฯ
ซัลลิแวนยอมรับว่าบางประเด็นปัญหาเหล่านี้ ทั้งสองฝ่ายยังคงมีช่องว่างห่างกันมาก โดยที่เขาบอกเจาะจงว่าไม่สามารถตกลงอะไรกันใหม่ๆ ในเรื่องทะเลจีนใต้ ขณะที่พวกประเด็นด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการค้า มีการ “แลกเปลี่ยนยื่นหมูยื่นแมวกันอย่างกระฉับกระเฉง” และสำหรับเรื่องการเลือกตั้งของอเมริกานั้น เขากล่าวว่า “เราไม่ได้มีการหารือกัน”
อย่างไรก็ดี มีความคืบหน้ามากกว่าในเรื่องสายสัมพันธ์ทางทหาร โดยที่ก่อนหน้าเข้าพบ สี นั้น ซัลลิแวนได้พบหารือกับพลเอกจาง โย่วเสีย รองประธานคนที่หนึ่งของคณะกรรมการการทหารส่วนกลางของจีน ซึ่งพวกนักการทูตมองว่าเป็นที่ปรึกษาทางการทหารอาวุโสที่สุดของ สี และดูจะมีอำนาจมากกว่าตัวรัฐมนตรีกลาโหมจีนเสียอีก โดยในการหารือครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงเห็นพ้องให้มีการติดต่อกันทางโทรศัพท์ระหว่างทางคณะผู้นำของกองบัญชาการทหารภาคอินโด-แปซิฟิก ของสหรัฐฯ กับคณะผู้นำของกองบัญชาการยุทธบริเวณภาคใต้ของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ซึ่งมีหน้าที่ดูแลทะเลน่านน้ำต่างๆ ทางตอนใต้ของแดนมังกร
ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการพบหารือกันระหว่าง จาง กับทางเจ้าหน้าที่ของคณะบริหารไบเดน โดยที่ จาง พูดขณะต้อนรับซัลลิแวนว่า การที่ ซัลลิแวนขอให้จัดการหารือกับตัวเขาเช่นนี้ สาธิตให้เห็นการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ให้คุณค่าแก่เรื่องความมั่นคงทางทหารและความสัมพันธ์ระดับทหารกับทหาร ขณะที่ซัลลิแวนะสำทับว่า จีนและอเมริกามีความรับผิดชอบในการป้องกันไม่ให้การแข่งขันระหว่างกันกลายเป็นความขัดแย้งหรือการเผชิญหน้า
ทำเนียบขาวเสริมว่า ซัลลิแวนย้ำความจำเป็นสำหรับเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน และเสรีภาพในการเดินเรือในทะเลจีนใต้ รวมทั้งแสดงความกังวลเกี่ยวกับการที่จีนให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมกลาโหมของรัสเซีย
ฝ่ายจางเตือนว่า สถานะของไต้หวันถือเป็นเส้นแดงอันตรายในความสัมพันธ์จีน-อเมริกาที่จะต้องไม่ก้าวล่วง พร้อมยืนยันว่า ปักกิ่งมุ่งมั่นรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวันมาโดยตลอด ทว่า การประกาศเอกราชของไต้หวัน กับสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวันเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกัน
จางยังเรียกร้องให้อเมริกายุติการสมรู้ร่วมคิดทางทหารกับไทเป รวมทั้งหยุดเผยแพร่ข่าวปลอมเกี่ยวกับไต้หวัน และร่วมมือกับจีนเพื่อส่งเสริมการสื่อสารและการแลกเปลี่ยนระหว่างกองทัพของสองประเทศ และร่วมกันรับผิดชอบในฐานะชาติมหาอำนาจ
นอกจากนั้น ซัลลิแวนยังได้พบหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนในวันพุธ (28) และหารือเกี่ยวกับแนวโน้มการพูดคุยระหว่างสีกับไบเดน รวมทั้งแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความขัดแย้งในตะวันออกกลางและยูเครน การที่จีนอ้างสิทธิอธิปไตยเหนือไต้หวันและทะเลจีนใต้ รวมทั้งประเด็นการค้า
ซัลลิแวนยืนยันว่า อเมริกามุ่งมั่นปกป้องพันธมิตรในอินโด-แปซิฟิก และแสดงความกังวลกับการดำเนินการของจีนที่บ่อนทำลายเสถียรภาพปฏิบัติการทางทะเลของฟิลิปปินส์ในทะเลจีนใต้
สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีของทางการจีนรายงานว่า หวังตอบซัลลิแวนว่า อเมริกาไม่ควรใช้สนธิสัญญาทวิภาคีเป็นข้ออ้างเพื่อบ่อนทำลายอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของจีน รวมทั้งไม่ควรสนับสนุนหรือให้อภัยฟิลิปปินส์ที่รุกล้ำน่านน้ำจีน
หวังยังย้ำว่า ไต้หวันเป็นของจีนและจะต้องรวมชาติกันอย่างแน่นอน พร้อมเรียกร้องให้อเมริกาหยุดติดอาวุธให้ไทเป
(ที่มา : รอยเตอร์/เอเอฟพี)