พันธมิตรพรรคฝ่ายซ้ายของฝรั่งเศส อยู่บนเส้นทางของการกลายมาเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ที่สุดของรัฐสภา หลังส่อแววเอาชนะทั้งฝ่ายขวาจัด และพันธมิตรของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ในศึกเลือกตั้งทั่วไปรอบชี้ขาด เมื่อวันอาทิตย์ (7 ก.ค.) อ้างอิงจากผลการคาดการณ์ที่สร้างความประหลาดใจอย่างมาก ขณะที่แกนนำฝ่ายขวาเดือด ประณามเป็นผลจากการจับมือกันของฝ่ายซ้ายและพวกสายกลาง สกัดกั้นไม่ให้พวกเขาก้าวเข้าสู่อำนาจ
อย่างไรก็ตาม จากการคาดการณ์พบว่า ไม่มีกลุ่มใดสามารถครองเสียงข้างมากในสมัชชาแห่งชาติ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่ามันจะฉุดฝรั่งเศสเข้าสู่ความไม่แน่นอนทางการเมือง เนื่องจากไม่มีเส้นทางที่ชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล 2 วันก่อนการประชุมซัมมิตครั้งสำคัญของนาโต และ 3 สัปดาห์ก่อนถึงกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ที่กรุงปารีส เป็นเจ้าภาพ
นายกรัฐมนตรีกาเบรียล อัตตาล บอกว่าเขาจะยื่นใบลาออกกับมาครง ในวันจันทร์ (8 ก.ค.) แต่พร้อมดำรงตำแหน่งต่อไป ตราบใดที่ภาระหน้าที่เรียกร้อง เนื่องจากกีฬาโอลิมปิกเกมส์ใกล้มาถึงแล้ว
แนวร่วมนิวป็อบปูลาร์ฟอนต์ (เอ็นเอฟพี) ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว หลังจาก มาครง ประกาศยุบสภาและจัดการเลือกตั้ง เป็นการรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวของบรรดาพรรคที่มีความแตกแยกกันอย่างรุนแรงก่อนหน้านี้ ทั้งพรรคโซเชียลิสต์ พรรคกรีนส์ พรรคคอมมิวนิสต์และพรรค Unbowed
พรรคเนชันแนล แรลลี (อาร์เอ็น) พรรคขวาจัดของ มารีน เลอ แปน ผู้สมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี เป็นฝ่านนำหลังศึกเลือกตั้งรอบแรกในวันที่ 30 มิถุนายน ท่ามกลางความคาดหมายของสำนักโพลต่างๆ ว่าพรรคแห่งนี้จะเป็นพรรคที่คว้าเก้าอี้ได้มากที่สุดในรัฐสภา ตามหลังศึกเลือกตั้งรอบชี้ขาดในวันอาทิตย์ (7 ก.ค.)
อย่างไรก็ตาม จากการคาดการณ์โดยการสุ่มตัวอย่างสอบถามของบรรดาสำนักโพลต่างๆ 4 แห่งในวันอาทิตย์ (7 ก.ค.) พบว่าไม่มีกลุ่มใดอยู่บนเส้นทางของการครองเสียงข้างมากโดยสิ้นเชิง และพรรคฝ่ายซ้ายเอ็นเอฟพี มีคะแนนนำหน้าทั้งพรรค Ensemble พรรคสายกลางของมาครง และพรรคอาร์เอ็นของเลอ แปน ที่มีจุดยืนสงสัยในความเป็นกลุ่มก้อนของอียูและมีนโยบายต่อต้านคนเข้าเมือง
มาครง ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะต่อผลการคาดการณ์ต่างๆ แต่ผู้ช่วยรายหนึ่งเรียกร้องขอวิเคราะห์ผลให้รอบคอบ ขณะที่ เลอ แปน ประกาศว่า "กระแสกำลังเพิ่มขึ้น มันอาจเพิ่มขึ้นไม่มากพอในคราวนี้ แต่มันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง และชัยชนะของเราเพียงแค่เลื่อนออกไปเท่านั้น"
ฌอง-ลุค เมลองชอง ผู้นำพรรค France Unbowed (LFI) พรรคซ้ายจัด และหัวหอกของแนวร่วมเอ็นเอฟพี เรียกร้องให้เปิดทางฝ่ายซ้ายจัดตั้งรัฐบาล และปกป้องความเป็นสาธารณรัฐ
ผลสำรวจของสำนักโพลต่างๆ คาดการณ์ว่ากลุ่มฝ่ายซ้ายจะคว้าเก้าอี้ได้ราว 172 ถึง 215 ที่นั่ง ส่วนพันธมิตรสายกลางของประธานาธิบดีได้ 150 ถึง 180 ที่นั่ง ขณะที่เนชันแนล แรลลี ตามมาเป็นอันดับ 3 อย่างน่าประหลาดใจ คาดว่าจะได้ราว 115 ถึง 155 ที่นั่ง
มันถือเป็นการครองเก้าอี้ได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับฝ่ายขวาจัด แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับชัยชนะตามที่พวกเขาหวังไว้ ซึ่งจะได้เห็น จอร์แดน บาร์เดลลา วัย 28 ปี ผู้อยู่ภายใต้การผลักดันของ เลอ แปน ก้าวมาเป็นนายกรัฐมนตรี
บาร์เดลลา แสดงความขุ่นเคืองต่อผลที่ออกมา ให้คำจำกัดความข้อตกลงเลือกตั้งท้องถิ่น ที่พบเห็นฝ่ายซ้ายและฝ่ายกลางจับมือกัน หลีกเลี่ยงไม่ให้ฝ่ายต่อต้านพรรคอาร์เอ็นเสียงแตก ว่าเป็นพันธมิตรแห่งความน่าอับอาย ที่โยนฝรั่งเศสเข้าสู่อ้อมแขนของฝ่ายซ้ายสุดขั้วของฌอง-ลุค เมลองชอง
ตามหลังผลเลือกตั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบเห็นข้อตกลงลงคะแนนโหวตแบบมีกลยุทธ์ระหว่างบรรดาผู้สมัครสายกลางและฝ่ายซ้ายในศึกชิงชัยเขตต่างๆ ในความพยายามขัดขวางพรรคอาร์เอ็นครองเสียงข้างมาก มันได้รับการยกย่องว่าเป็นการคืนชีพของแนวร่วมต่อต้านขวาจัด "รีพับลิกัน ฟอนต์" ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยที่ ฌอง-มารี บิดาของเลอ แปน เผชิญหน้ากับ ฌักส์ ชีรัค ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบชี้ขาดในปี 2002
มาครง จะเดินทางไปร่วมการประชุมซัมมิตนาโตในวอชิงตันที่กำลังมาถึง ในฐานะบุคคลที่มีความสำคัญน้อยลง และฝรั่งเศสจะต้องปราศจากรัฐบาลเสียงข้างมากที่มีเสถียรภาพ 3 สัปดาห์ก่อนกรุงปารีสเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก
ก่อนหน้านี้คาดหมายว่าชัยชนะของพรรคอาร์เอ็น จะก่อความอ่อนแอต่อจุดยืนนานาชาติของฝรั่งเศส และคุกคามความเป็นหนึ่งเดียวกันของตะวันตก ในการเผชิญหน้าการรุกรานยูเครนของรัสเซีย
พวกเจ้าหน้าที่อียูที่ต้องรับมือกับการผงาดขึ้นมาของบรรดาพรรคการเมืองขวาจัดทั้งในอิตาลี เนเธอร์แลนด์ และผิดหวังต่อท่าทีของ วิคเตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี กำลังจับตาดูผลเลือกตั้งฝรั่งเศสอย่างใกล้ชิด
คำถามสำหรับฝรั่งเศสเวลานี้คือ จะมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพหรือไม่ ภายใต้การสนับสนุนของแนวร่วมฝ่ายซ้ายที่เคยเต็มไปด้วยความแตกแยก ขณะเดียวกัน ก็ต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มก้อนในรัฐสภาขนาดใหญ่ของพรรคอาร์เอ็นที่นำโดยเลอ แปน ในขณะที่เธอเองเตรียมการลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีปี 2027
(ที่มา : เอเอฟพี)