xs
xsm
sm
md
lg

รอดูใครเจ็บกว่า! จีนเปิดสอบ EU ‘ทุ่มตลาดบรั่นดี’ แก้เผ็ดถูกรีดภาษีรถยนต์ไฟฟ้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รัฐบาลจีนประกาศเดินหน้าสอบสวนกรณีสหภาพยุโรป (อียู) มีพฤติกรรม “ทุ่มตลาดบรั่นดี” หลังคำสั่งรีดภาษีรถยนต์ไฟฟ้านำเข้าจากจีนโดยคณะกรรมาธิการยุโรปเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันนี้ (5 ก.ค.)

โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนเอ่ยในงานแถลงข่าววานนี้ (4) ว่า บรัสเซลส์และปักกิ่งควรที่จะเปิดเจรจากันต่อไป ก่อนที่อียูจะยืนยันเรียกเก็บภาษีรถอีวีจีนในอัตราสูงสุด 37.6% กระนั้นก็ตาม แนวโน้มที่จีนจะใช้มาตรการแก้แค้นก็ยังคงมีอยู่ เห็นได้จากการที่โฆษกผู้นี้อ้างถึงเรื่องที่จีนจะตรวจสอบเนื้อหมูนำเข้าจากอียู

กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงวันนี้ (5) ว่าจะมีการเปิดไต่สวนในวันที่ 18 ก.ค. เพื่อรับฟังความคืบหน้าในการสอบสวนเรื่องที่ผู้ผลิตบรั่นดียุโรปส่งสินค้ามาขายที่จีนในราคาต่ำกว่าท้องตลาด

จีนพยายามเรียกร้องหลายครั้งให้อียูระงับแผนขึ้นภาษีรถอีวี และแสดงความเต็มใจที่จะเปิดเจรจาด้วย พร้อมย้ำว่าปักกิ่งไม่ต้องการทำสงครามภาษีกับยุโรป หลังจากที่ถูกสหรัฐฯ รีดภาษีกีดกันสินค้าต่างๆ อยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ปักกิ่งยืนยันว่าจะใช้ทุกมาตรการเพื่อปกป้องบริษัทของจีนเอง

ทั้งนี้ อียูได้กำหนดกรอบเวลา 4 เดือนในการขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้าจีนชั่วคราว ระหว่างที่กระบวนการสอบสวนดำเนินต่อไปจนถึงวันที่ 2 พ.ย. และหลังจากนั้นอาจมีการประกาศอัตราภาษีขั้นสุดท้าย (definitive duties) ซึ่งโดยปกติจะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 5 ปี

ตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ปักกิ่งเริ่มเปิดการสอบสวนแก้แค้นกับผลิตภัณฑ์บรั่นดีและเนื้อหมูที่นำเข้าจากยุโรป โดยพุ่งเป้าไปที่ผู้ผลิตของฝรั่งเศส สเปน เนเธอร์แลนด์ และเดนมาร์ก

หนังสือพิมพ์ Global Times ซึ่งเป็นสื่อในเครือพีเพิลส์เดลียังรายงานด้วยว่า เจ้าหน้าที่จีนกำลังพิจารณาเปิดการสอบสวนพฤติกรรมทุ่มตลาดของผลิตภัณฑ์นมนำเข้าจากอียู และอาจมีการปรับขึ้นภาษีรถยนต์น้ำมันขนาดใหญ่ที่นำเข้าจากยุโรปด้วย

นักวิเคราะห์ชี้ว่า การที่จีนพุ่งเป้าเล่นงานบรั่นดีและเนื้อหมูเป็นอันดับแรกก็เพื่อกดดัน “ฝรั่งเศส” และ “สเปน” ซึ่งอยู่ในกลุ่มชาติที่เชียร์ให้อียูรีดภาษีรถอีวีจีนมากที่สุด โดยหวังให้ทั้ง 2 ชาติหันมาร่วมมือกับ “เยอรมนี” ที่ว่ากันว่ากำลังพยายามล็อบบี้ให้คณะกรรมาธิการยุโรปถอนคำสั่งรีดภาษีรถอีวีจากแดนมังกร

ปีที่แล้ว ค่ายยานยนต์เยอรมนีมียอดจำหน่ายรถยนต์ในจีนสูงถึง 1 ใน 3 ของยอดขายทั่วโลก

ที่มา : รอยเตอร์
กำลังโหลดความคิดเห็น