ศาลสูงสหรัฐฯ ในวันจันทร์ (1 ก.ค.) ตัดสินว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่อาจถูกดำเนินคดีจากการกระทำต่างๆ ภายใต้ขอบเขตอำนาจตามรัฐธรรมนูญในฐานะประธานาธิบดี ครั้งดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ ถือเป็นคำพิพากษาประวัติศาสตร์ที่ให้การรับรองเป็นครั้งแรก เกี่ยวกับการให้เอกสิทธิ์คุ้มกันประธานาธิบดีรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งจากการถูกดำเนินคดี
คณะผู้พิพากษาที่มีหัวหน้าผู้พิพากษา จอห์น โรเบิร์ตส เป็นประธาน ลงมติ 6 ต่อ 3 พิพากษากลับคำตัดสินของศาลล่างแห่งหนึ่ง ที่ปฏิเสธคำกล่าวอ้างของ ทรัมป์ ว่าเขามีเอกสิทธิ์คุ้มครองจากการถูกดำเนินคดีทางอาญาในศาลรัฐบาลกลาง เกี่ยวข้องกับความพยายามล้มผลการเลือกตั้งปี 2020 ที่เขาพ่ายแพ้แก่ โจ ไบเดน ทั้งนี้ ผู้พิพากษาหัวอนุรักษ์เป็นเสียงส่วนใหญ่ของมติ ส่วนพวกผู้พิพากษาหัวเสรี 3 คน ลงมติคัดค้าน
อย่างไรก็ตาม ศาลสูงสหรัฐฯ ระบุว่า เอกสิทธิ์คุ้มกันนี้ไม่มีผลครอบคลุมการกระทำใดๆ ที่ไม่อยู่ในขอบข่ายการปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการของอดีตประธานาธิบดี
คำตัดสินดังกล่าวส่งผลให้อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ รายนี้ ได้รับการคุ้มกันจากการถูกดำเนินคดีอาญา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่การก่อตั้งประเทศของสหรัฐอเมริกา ที่ศาลสูงรับรองความคุ้มกันดังกล่าว ท่ามกลางการแสดงความกังวลของฝ่ายที่คัดค้านว่าคำตัดสินนี้จะเปิดทางให้อดีตประธานาธิบดีอยู่เหนือกฎหมายได้
ทรัมป์ เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน ลงทำศึกรีแมตช์จากที่เคยพ่ายแพ้แก่ ไบเดน ในปี 2020 ขณะที่คำตัดสินของตุลาการศาลสูงสหรัฐฯ ครั้งนี้ เป็นเหมือนการรับประกันว่า ทรัมป์ จะไม่ถูกฟ้องในคดีว่าด้วยความพยายามล้มผลการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ก่อนจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 ในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้
ท่าทีครั้งนี้ของศาลสููงสหรัฐฯ จะส่งผลให้การดำเนินคดีกับโดนัลด์ ทรัมป์ ในคดีที่เขาถูกกล่าวหาว่าพยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2020 ต้องล่าช้าออกไป จากเดิมที่คาดว่าอาจเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน
ขณะเดียวกัน คำตัดสินของศาลสูงสหรัฐฯ ล่าสุด ทำให้ศาลชั้นต้นต้องกลับไปพิจารณาอีกครั้งว่า การกระทำใดของทรัมป์ในขณะนั้น เป็นการกระทำในฐานะประธานาธิบดี หรือเป็นการกระทำนอกเหนือจากหน้าที่ เพื่อพิจารณาดำเนินคดีอาญาต่อไป
"เราสรุปว่าภายใต้โครงสร้างรัฐธรรมนูญของอำนาจที่แยกจากกัน ลักษณะอำนาจของประธานาธิบดีกำหนดไว้ว่าอดีตประธานาธิบดีรายหนึ่งใดมีเอกสิทธิ์คุ้มกันจากการถูกดำเนินคดีอาญา สำหรับการกระทำอย่างเป็นทางการระหว่างที่ประธานาธิบดีรายนั้นๆ ดำรงตำแหน่ง" โรเบิร์ตสเขียนในคำพิพากษา
"เอกสิทธิ์คุ้มกันอดีตประธานาธิบดีคือการเคารพต่อแกนอำนาจตามรัฐธรรมนูญ" โรเบิร์ตเขียน และบอกว่าอดีตประธานาธิบดีหนึ่งใดสันนิษฐานได้ว่าอย่างน้อยๆ ก็มีเอกสิทธิ์คุ้มกันจากการกระทำต่างๆ ภายในขอบเขตนอกสุดของหน้าที่รับผิดชอบอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีรายนั้นๆ นั่นหมายความว่าบรรดาอัยการต้องเผชิญกับขวากหนามทางกฎหมายขั้นสูงที่จะเอาชนะข้อสันนิษฐานดังกล่าว
คำตัดสินใจอาจทำลายบางส่วนในคดีของที่ แจ็ค สมิธ ปรึกษาพิเศษ เช่นเดียวกับ ทันยา ชัตคาน ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ ที่กำลังขบคิดถึงขอบเขตเอกสิทธิ์คุ้มครองของทรัมป์
ในการรับรองเอกสิทธิ์คุ้มครองอย่างกว้างๆ แก่ ทรัมป์ ทางผู้พิพากษาโรเบิร์ต อ้างถึงความจำเป็นที่ประธานาธิบดีรายหนึ่งใดต้อง "ทำหน้าที่โดยไร้ความหวาดกลัวและความยุติธรรมระหว่างดำรงตำแหน่ง" ปราศจากภัยคุกคามของการถูกดำเนินคดี อย่างไรก็ตามผู้พิพากษาโรเบิร์ต เน้นย้ำว่า "การกระทำต่างๆ อย่างไม่เป็นทางการของประธานาธิบดี จะไม่ได้รับเอกสิทธิ์คุ้มกัน"
ทรัมป์ ยกย่องคำตัดสินด้วยการโพสต์ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์ ระบุว่า "ชัยชนะครั้งสำคัญของรัฐธรรมนูญของเขาและประชาธิปไตยของเรา ภูมิใจที่เป็นชาวอเมริกา"
ทรัมป์ วัย 78 ปี เป็นอดีตประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐฯ ที่ถูกดำเนินคดีทางอาญาและเป็นอดีตประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกิพากษาว่ามีความผิดทางอาญาหนึ่งๆ ทั้งนี้ คำกล่าวหาล้มผลเลือกตั้งที่ยื่นฟ้องโดยสมิธ เป็นหนึ่งในคดีอาญา 4 คดีที่ ทรัมป์ ต้องเผชิญ
(ที่มา : รอยเตอร์)