ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) ออกมาเตือนเมื่อวันพุธ (31 ม.ค.) ว่า อิหร่านจะไม่ปล่อยให้คำขู่ใดๆ จากสหรัฐฯ ผ่านไปเฉยๆ ส่งสัญญาณพร้อมทำสงครามกับคู่อริตัวฉกาจ หลังประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งอเมริกา เปิดเผยว่าเขาได้ตัดสินใจแล้วเกี่ยวกับแผนตอบโต้เหตุโจมตีสังหารกำลังพลสหรัฐฯ ในจอร์แดน
ไบเดน บอกกับพวกผู้สื่อข่าวในวันอังคาร (30 ม.ค.) ว่าเขาได้ตัดสินใจแล้วเกี่ยวกับแนวทางตอบโต้เหตุโดรนโจมตีที่สังหารทหารสหรัฐฯ 3 นาย และบาดเจ็บอีกหลายสิบคนเมื่อวันอาทิตย์ (28 ม.ค.) ทำเนียบขาวกล่าวโทษเหตุโจมตีไปที่พวกกลุ่มติดอาวุธที่เป็นพันธมิตรกับอิหร่าน ซึ่งปฏิบัติการอยู่ในอิรักและซีเรีย ขณะที่ ไบเดน โยนความรับผิดชอบไปที่ อิหร่าน "ในแง่ที่ว่า พวกเขาจัดหาอาวุธให้แก่กลุ่มคนที่ลงมือ"
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ได้เปิดเผยว่าแนวทางการตอบโต้ที่เขาตัดสินไปแล้วนั้นมีแผนดำเนินการอย่างไร
"เราได้ยินคำขู่ต่างๆ จากพวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และเราบอกกับพวกเขาไปว่าพวกเขาเคยทดสอบเราไปแล้ว และเรารู้จักอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ไม่มีคำขู่ใดที่จะถูกปล่อยผ่านไป โดยไม่มีการตอบโต้" พลตรีฮอสเซน ซาลามี กล่าว ณ กิจกรรมหนึ่งในเตหะราน ตามรายงานของสำนักข่าวทาสนิมของอิหร่าน "เราไม่ได้เสาะหาสงคราม แต่เราก็ไม่กลัวสงครามเช่นกัน"
อามีร์ ซาอิด ไอราวานี ผู้แทนทูตอิหร่านประจำสหประชาชาติ เตือนในคืนวันอังคาร (30 ม.ค.) ว่า "รัฐอิสลามจะตอบโต้อย่างหนักหน่วงต่อการโจมตีใดๆ เล่นงานประเทศ ผลประโยชน์ของประเทศและประชาชน ไม่ว่าจะภายใต้ข้ออ้างใดๆ" สำนักข่าวไออาร์เอ็นเอรายงาน
อิหร่านปฏิเสธว่าไม่ได้บงการเหตุโจมตีปลิดชีพกำลังพลสหรัฐฯ แม้เป็นที่ทราบกันดีว่าเตหะรานป้อนอาวุธและให้การฝึกฝนกลุ่มติดอาวุธชีอะห์ทั้งหลายในอิรักและซีเรีย โดยกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านระบุในวันจันทร์ (29 ม.ค.) ว่าพวกนักรบเหล่านี้ไม่ได้รับคำสั่งจากสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน
"คนกลุ่มนี้ตัดสินใจและลงมือบนพื้นฐานหลักการและเป้าหมายต่างๆ ของตนเอง เช่นเดียวกับผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนของพวกเขา" โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านกล่าว
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา พวกกลุ่มอาวุธทั้งหลายเปิดฉากโจมตีเล่นงานฐานทัพต่างๆ ของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลางไปแล้วมากกว่า 150 ครั้ง แต่เหตุการณ์เมื่อวันอาทิตย์ (28 ม.ค.) ถือเป็นครั้งแรกที่มีกำลังพลอเมริกาในภูมิภาคนี้เสียชีวิตจากการถูกยิงโดยศัตรู นับตั้งแต่สงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสเริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคม
(ที่มา : อาร์ทีนิวส์)