กองทัพอิสราเอลบุกเข้าไปในโรงพยาบาลใหญ่ที่สุดในกาซาเมื่อวันพุธ (15 พ.ย.) และอ้างว่าสังหารนักรบฮามาส ตลอดจนพบอาวุธภายในอาคาร โดยเหตุการณ์ที่ถือเป็นการละเมิดหลักมนุษยธรรมร้ายแรงนี้เกิดขึ้นหลังจากอเมริกาประกาศให้ท้ายว่ามีข้อมูลข่าวกรองสนับสนุนข้อกล่าวหาของกองทัพยิวที่ว่า ฮามาสมีศูนย์บัญชาการใหญ่อยู่ใต้โรงพยาบาลแห่งนี้ ขณะที่ฮามาสชี้คำประกาศดังกล่าวเท่ากับเป็นการอนุมัติการบุกของอิสราเอล และไบเดนต้องร่วมรับผิดชอบอาชญากรรมสงครามที่ยิวก่อขึ้นครั้งนี้
โรงพยาบาลอัลชีฟา ในเมืองกาซาซิตี้ กลายเป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการภาคพื้นดินของอิสราเอลที่กล่าวหาว่า นักรบฮามาสมีฐานบัญชาการใหญ่อยู่ในอุโมงค์ใต้โรงพยาบาลแห่งนี้
ทั่วโลกต่างกังวลกับชะตากรรมของผู้ป่วยที่ติดอยู่ในโรงพยาบาลอัลชีฟา ซึ่งอยู่ในสภาพหมดเชื้อเพลิงสำหรับเดินเครื่องปั่นไฟ และไม่มีกระแสไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์การแพทย์พื้นฐานมาหลายวันแล้ว โดยที่ยังคงมีพลเรือนนับพันหรืออาจนับหมื่นพักอาศัยหลบภัยสงคราม ขณะเจ้าหน้าที่กาซาระบุว่า มีผู้ป่วยจำนวนมากซึ่งรวมถึงทารกแรกเกิดเสียชีวิตในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาจากการปิดล้อมของอิสราเอล
ด้านอิสราเอลบอกว่า สังหารนักรบฮามาสในการปะทะกันหน้าโรงพยาบาลก่อนที่จะบุกเข้าไป รวมทั้งฝ่ายตนยังได้นำสิ่งของจำเป็นทางการแพทย์ เช่น ตู้อบและอาหารสำหรับทารก ตลอดจนอุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างเข้าไปให้โรงพยาบาลด้วย
ทั้งนี้ สถานีวิทยุของกองทัพอิสราเอลรายงานว่า นักรบฮามาสถูกสังหาร 5 คน และกองทัพยิวยังพบอาวุธภายในโรงพยาบาลอัลชีฟา
ด้านนายแพทย์อาเหม็ด เอล โมฮัลลาลาติ ศัลยแพทย์ในโรงพยาบาลอัลชีฟา ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับรอยเตอร์ว่า เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลต้องหาที่ซ่อนระหว่างเกิดการปะทะหน้าโรงพยาบาลเมื่อคืนวันอังคาร (14) ก่อนที่จะมีการบุกเข้าไปยิงกันภายในตัวอาคาร และอิสราเอลยังเคลื่อนรถถังเข้าไปจอดที่หน้าแผนกฉุกเฉิน
เขาสำทับว่า มีการใช้อาวุธทุกรูปแบบรอบๆ โรงพยาบาล และยังเล็งโจมตีโรงพยาบาลโดยตรง
ผู้เห็นเหตุการณ์อีกคนเล่าว่า รถถังเคลื่อนเข้าไปในโรงพยาบาลเมื่อเวลา 3.00 น. วันพุธ และทหารอิสราเอลกระจายอยู่ทั่วสนามก่อนเริ่มค้นชั้นใต้ดินและเข้าไปในตึกต่างๆ
นายแพทย์มูนีร์ อัล-เบิร์ช อธิบดีของกระทรวงสาธารณสุขฮามาส เปิดเผยกับสื่ออัล จาซีรา ของกาตาร์ว่า กองกำลังอิสราเอลบุกเข้าไปทางด้านตะวันตกของโรงพยาบาล และเชื่อว่า มีการใช้ระเบิดในโรงพยาบาล
ขณะที่โมฮัมเหม็ด ซาคุต ผู้อำนวยการฝ่ายสถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขฮามาส เสริมว่า แผนกศัลยกรรมและแผนกฉุกเฉินเป็นจุดแรกที่ถูกบุกค้น
ทางด้านกองทัพอิสราเอล (ไอดีเอฟ) แถลงว่า จากข้อมูลข่าวกรองและความจำเป็นในการดำเนินการ ไอดีเอฟกำลังเปิดปฏิบัติการที่กำหนดเป้าหมายแม่นยำต่อฮามาสในบริเวณที่เฉพาะเจาะจงในโรงพยาบาลอัลชีฟา พร้อมยืนยันว่า ขีดเส้นตาย 12 ชั่วโมงให้ฮามาสยุติกิจกรรมทางทหารในอัลชีฟา แต่ฮามาสไม่ทำตาม
พ.ท.ปีเตอร์ เลอร์เนอร์ โฆษกกองทัพอิสราเอล ยืนยันกับซีเอ็นเอ็นว่า โรงพยาบาลอัลชีฟาเป็นฮับปฏิบัติการของฮามาส
ในวันอังคาร อเมริกาแถลงว่า มีข้อมูลข่าวกรองที่สนับสนุนข้อสรุปดังกล่าวของอิสราเอล
ด้านฮามาสตอบโต้ว่า คำแถลงของวอชิงตันเท่ากับเป็นการอนุญาตให้อิสราเอลบุกโรงพยาบาลอัลชีฟา และสำทับว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ต้องรับผิดชอบร่วมกับอิสราเอลใน “อาชญากรรมสงคราม” ครั้งนี้
แถลงการณ์ของฮามาสยังระบุว่า บุคลากรทางการแพทย์และพลเรือนที่ไร้ที่อยู่อาศัยมากมายในโรงพยาบาลอัลชีฟากำลังเผชิญการบุกจู่โจมป่าเถื่อนต่อสถานพยาบาลที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้อนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4
นอกจากนั้น โฆษกกระทรวงสาธารณสุขของกาซายังรายงานว่า เมื่อวันอังคาร ชาวปาเลสไตน์ที่ติดอยู่ในโรงพยาบาลได้ขุดหลุมขนาดใหญ่เพื่อฝังศพผู้ป่วยจำนวนมากที่เสียชีวิต และเสริมว่า ขณะนี้ยังไม่มีแผนอพยพทารก แม้อิสราเอลเสนอส่งตู้อบให้ก็ตาม
อันโตนิโอ กูเตียร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แสดงความกังวลกับเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในโรงพยาบาล และเรียกร้องให้หยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมทันที
วันพุธ มาร์ติน กริฟฟิธส์ ข้าหลวงใหญ่ด้านมนุษยธรรมของยูเอ็น โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า ตกใจมากกับข่าวการบุกโรงพยาบาลอัลชีฟา และย้ำว่า โรงพยาบาลไม่ใช่สนามรบ และการปกป้องทารกแรกเกิด ผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ และพลเรือนทั้งหมดต้องมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
นอกจากนั้น องค์การอนามัยโลกและคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศยังออกแถลงการณ์แสดงความกังวลและเรียกร้องให้ปกป้องผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ และพลเรือนทั้งหมดเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ อิสราเอลเปิดศึกบดขยี้ฮามาสหลังจากนักรบอิสลามิสต์กลุ่มนี้ส่งนักรบข้ามแดนเข้าไปทางใต้ของอิสราเอลและสังหารผู้คนราว 1,200 คน และจับตัวประกันกลับไปกาซาอีก 240 คนเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ขณะที่เจ้าหน้าที่กาซาบอกว่า จนถึงตอนนี้ความขัดแย้งนี้ทำให้ชาวปาเลสไตน์ถูกฆ่าไปแล้วกว่า 11,000 คน ซึ่งราว 40% เป็นเด็ก และพลเรือน 2 ใน 3 กลายเป็นคนไร้บ้าน
(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์)