สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวเมื่อวานนี้ (14 พ.ย.) ซึ่งทำให้สหรัฐฯ รอดภาวะชัตดาวน์ (shutdown) ไปได้อีกรอบหนึ่ง โดยจะช่วยให้หน่วยงานของรัฐมีเงินใช้จ่ายต่อไปได้จนถึงช่วงกลางเดือน ม.ค. ปี 2024
ร่างงบประมาณชั่วคราวฉบับนี้ได้ถูกต่อไปยังวุฒิสภา ซึ่งผู้นำทั้งฝ่ายรีพับลิกันและเดโมแครตส่งสัญญาณแล้วว่าพร้อมจะให้ “ไฟเขียว”
เพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานรัฐ ทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนฯ จะต้องผ่านร่างงบประมาณฉบับใหม่ให้ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมาย ก่อนที่กฎหมายงบประมาณซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบันจะหมดอายุลงในเวลาเที่ยงคืนของวันศุกร์นี้ (17)
คะแนนโหวตเห็นชอบ 336 ต่อ 95 เสียงยังถือเป็นชัยชนะสำหรับ ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ คนใหม่ ซึ่งยังคงเผชิญกระแสต่อต้านจากเพื่อนร่วมพรรครีพับลิกันบางคน
จอห์นสัน ได้รับเลือกเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อไม่ถึง 3 สัปดาห์ที่แล้ว หลังจากสภาล่างสหรัฐฯ ตกอยู่ในภาวะไร้ผู้นำมานานหลายสัปดาห์ ทว่าเนื่องจากพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภาแค่ 221-213 เสียง จอห์นสันจึงเสียเสียงสนับสนุนจากเพื่อน ส.ส.ร่วมพรรคได้ไม่เกิน 3 เสียงในการโหวตร่างกฎหมายที่พวก ส.ส.เดโมแครตไม่เห็นด้วย
ชัค ชูเมอร์ ผู้นำ ส.ว.เสียงข้างมากจากพรรคเดโมแครต ระบุในคำแถลงเมื่อค่ำวันอังคาร (14) ว่ารู้สึกสบายใจที่ร่างงบประมาณฉบับใหม่ “ได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจาก ส.ส.ทั้ง 2 พรรค” พร้อมรับปากว่าจะทำงานร่วมกับ มิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำ ส.ว.รีพับลิกันเพื่อโหวตผ่านร่างกฎหมายนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด
ร่างกฎหมายนี้ได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ส.เดโมแครต 209 เสียง ส.ส.รีพับลิกัน 127 เสียง และมี ส.ส.จากทั้ง 2 พรรคคัดค้านรวม 93 เสียง
สมาชิกพรรครีพับลิกันสายขวาจัดบางคนแสดงความไม่พอใจที่ร่างงบประมาณนี้ไม่ได้ตัดลดค่าใช้จ่ายลงอย่างมากและกำหนดมาตรการควบคุมชายแดนเข้มงวดตามที่พวกเขาเรียกร้อง
กฎหมายงบประมาณชั่วคราวฉบับนี้จะช่วยให้รัฐบาลสหรัฐฯ มีงบใช้จ่ายในระดับปัจจุบันไปจนถึงต้นปี 2024 และช่วยให้สมาชิกสภาคองเกรสมีเวลาเพิ่มเติมในการร่างกฎหมายงบประมาณที่มีรายละเอียดครอบคลุมตั้งแต่งบกองทัพ เรื่อยไปจนถึงงานวิจัยที่เฉพาะเจาะจงต่างๆ
สภาคองเกรสสหรัฐฯ เกิดการงัดข้อในเรื่องงบประมาณมาแล้วถึง 3 รอบในปีนี้ เนื่องจากทั้ง 2 พรรคยังมีมุมมองขัดแย้งกันในเรื่องการจัดการหนี้สินของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงกว่า 31 ล้านล้านดอลลาร์ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถาบันจัดอันดับเครดิตระดับโลกอย่าง “มูดีส์” ตัดสินใจปรับแนวโน้มความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ จากเสถียร (stable) กลายเป็น “ลบ” (negative) เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (10)
ที่มา : รอยเตอร์