แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในวันศุกร์ (3 พ.ย.) เรียกร้องอิสราเอลหยุดพักปฏิบัติการทางทหารรุกรานกาซาเป็นการชั่วคราว เพื่อเปิดทางให้ความช่วยเหลือมนุษยธรรมเข้าไปยังฉนวนของชาวปาเลสไตน์แห่งนี้ ทว่าถูกสวนกลับทันควัน โดยเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล บอกว่าจะไม่ระงับปฏิบัติการดังกล่าว จนกว่าตัวประกันทั้งหมดที่นักรบฮามาสจับไปจะได้รับการปล่อยตัว
บลิงเคน อยู่ในตะวันออกกลางเป็นครั้งที่ 2 ในเวลาห่างกันไม่ถึงเดือน ในความพยายามเสาะหาความสมดุลระหว่างแรงสนับสนุนของวอชิงตันที่มอบแก่อิสราเอล ซึ่งถูกพวกฮามาสโจมตีนองเลือดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม กับความสูญเสียในทางพลเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศแก้แค้นของอิสราเอล
ในขณะที่สหรัฐฯ คงไว้ซึ่งแรงสนับสนุนที่แข็งขันแก่อิสราเอล แต่ถ้อยคำของพวกเขาในด้านเพิ่มความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่ฉนวนกาซาเริ่มเปลี่ยนไป โดยวอชิงตันเรียกร้องให้ใช้มาตรการต่างๆ หลีกเลี่ยงการเสียชีวิตของพลเรือน และจัดทำข้อตกลงหยุดพักการสู้รบ เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการทำงานปล่อยตัวประกันมากกว่า 240 คน ที่ถูกพวกฮามาสจับตัวไป
ระหว่างการแถลงข่าว บลิงเคน เรียกร้องให้หยุดพักเพื่อมนุษยธรรม โดยบอกว่ามันจะเปิดทางให้สิ่งของบรรเทาทุกข์เข้าไปยังฉนวนกาซา อำนวยความสะดวกแก่การทำงานหาทางให้ตัวประกันได้รับการปล่อยตัว ในขณะที่ อิสราเอลยังคงสามารถบรรลุเป้าหมายในการกำราบพวกฮามาส
ไม่นานหลังจาก บลิงเคน แถลงข่าว ทาง เนทันยาฮู ได้ออกถ้อยแถลงผ่านสถานีโทรทัศน์ ปฏิเสธแนวคิดนี้ "ผมขอพูดชัดๆ เลยว่า เราจะยังคงเดินหน้าเต็มกำลัง และอิสราเอลขอปฏิเสธข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวใดๆ ที่ไม่นับรวมการปล่อยตัวประกัน"
เช่นเดียวกับอิสราเอล ทางสหรัฐฯ ปฏิเสธเสียงเรียกร้องจากนานาชาติที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ที่วิงวอนขอข้อตกลงหยุดยิง อย่างไรก็ตาม วอชิงตันกำลังหาทางโน้มน้าวให้อิสราเอลยอมรับข้อเสนอหยุดพักในพื้นที่แทน
สงครามล่าสุดในความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมาหลายทศวรรษ เริ่มต้นจากการที่พวกนักรบฮามาสบุกจู่โจมข้ามพรมแดนเข้าไปในอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม สังหารผู้คนไป 1,400 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และจับตัวประกันไปกว่า 200 คน ในเหตุโจมตีครั้งนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์ 75 ปีของประเทศ
นับตั้งแต่นั้น อิสราเอลแก้แค้นด้วยการโจมตีทางอากาศถล่มฉนวนกาซา ดินแดนของชาวปาเลสไตน์ที่มีประชากรพักอาศัย 2.3 ล้านคน อย่างไม่รามือ สังหารผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 9,227 คน ในนั้นเกินครึ่งเป็นเด็กและผู้หญิง
ก่อนหน้าพบปะกับประธานาธิบดีไอแซค เฮอร์ซ็อก แห่งอิสราเอล บลิงเคน เน้นย้ำว่าอิสราเอลมีสิทธิทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เพื่อรับประกันว่าเหตุนองเลือดวันที่ 7 ตุลาคม จะไม่มีวันเกิดขึ้นซ้ำรอย
เฮอร์ช็อก อ้างด้วยว่าอิสราเอลจะแจ้งเตือนยาวเหยียดไปถึงพลเรือน เกี่ยวกับปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ ถือใบปลิวใบหนึ่ง ซึ่งเขาบอกว่าอิสราเอลได้หย่อนลงไปบอกกับพลเรือนให้อพยพไปทางเหนือของกาซา นอกจากนี้ เขายังอ้างอีกว่าอิสราเอลได้เร่งเร้าให้ชาวกาซาอพยพออกมา ผ่านทั้งข้อความบนมือถือและทางโทรศัพท์ ก่อนหน้าปฏิบัติการจู่โจม
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่ารถบรรทุกสิ่งของบรรเทาทุกข์ข้ามจากอิยิปต์เข้าไปในฉนวนกาซาราว 100 คันในแต่ละวัน แต่มันยังคงไม่เพียงพอ "ผมพูดคุยกับพวกผู้นำอิสราเอล เกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ที่จับต้องได้ ในการยกระดับส่งมอบอาหาร น้ำ ยา เชื้อเพลิง และข้าวของที่จำเป็นอื่นๆ ขณะเดียวกันก็หาทางกำหนดมาตรการต่างเพื่อป้องกันไม่ให้พวกฮามาสและกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ สร้างความไขว้เขว
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งเป้าหมายที่ บลิงเคน ให้ความสำคัญในลำดับต้นๆ นั่นคือหาทางรับประกันว่าความขัดแย้งจะไม่ลุกลาม
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง ซายเยด ฮัสซัน นาสรัลเลาะห์ ผู้นำกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ที่ได้รับการหนุนหลังจากอิหร่าน พูดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามอิสราเอล-ฮามาส ปะทุขึ้น เตือนในวันศุกร์ (3 พ.ย.) มีความเป็นไปได้ว่าความขัดแย้งในตะวันออกกลางอาจขยายวงสู่สงครามระดับภูมิภาค
สำหรับเรื่องนี้ บลิงเคน บอกว่าวอชิงตันมีความมุ่งมั่นจะไม่เป็นแนวหน้าที่ 2 หรือ 3 ในความขัดแย้ง และหน้าที่ของสหรัฐฯ คือป้องปรามความก้าวร้าวไม่ว่าจะฝ่ายใดๆ
(ที่มา : รอยเตอร์)