xs
xsm
sm
md
lg

หดหู่! ชาวปาเลสไตน์ดิ้นรนอย่างเข้าตาจน หาทางอพยพหนีตายจากตอนเหนือกาซา ขณะอิสราเอลคุกคามหนักขึ้นเรื่อยๆ จะยกทัพใหญ่โจมตีภาคพื้นดิน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สำนักข่าว แอสโซซิเอเต็ด เพรสส์ (เอพี) ***


ผู้หญิงและเด็กชาวปาเลสไตน์ที่หลบหนีออกจากบ้านเรือนของพวกเขาท่ามกลางการถล่มโจมตีของอิสราเอล เข้าไปพักพิงอาศัยที่โรงเรียนซึ่งดำเนินการโดยสหประชาชาติแห่งหนึ่ง ในเมืองข่านยูนิส ทางตอนใต้ของดินแดนกาซา เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม  ทั้งนี้รายงานข่าวระบุว่า ที่โรงเรียนซึ่งดำเนินการโดยยูเอ็นทางตอนเหนือของกาซา ก็มีชาวปาเลสไตน์หลายครอบครัวอพยพไปพิงพิงเหมือนกัน หลังอิสราเอลสั่งให้ชาวกาซากว่าล้านคนต้องอพยพลงใต้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
Palestinians struggle to evacuate northern Gaza amid growing Israeli warnings of ground offensive
By WAFAA SHURAFA and JOSEPH KRAUSS, Associated Press
15/10/2023

ที่โรงพยาบาล อัล-ชิฟา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแห่งสำคัญที่สุดของนครกาซาซิตี้ มีผู้หญิงและเด็กๆ ซึ่งพวกเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ประมาณการว่า อยู่ในราว 35,000 คนเข้ามาอยู่กันแออัดตามห้องโถงและระเบียงที่ยงเต็มไปด้วยคราบเลือด รวมทั้งอยู่กันตามพื้นดินของโรงพยาบาล บางส่วนนั่งกันตามใต้ต้นไม้ ตลอดจนภายในห้องล็อบบี้ของอาคารโรงพยาบาล ด้วยความวาดหวังว่าจะได้รับการปกป้องคุ้มครองจากการสู้รบ

เดอีร์ อัล-บาเลาะห์, ฉนวนกาซา (เอพี) – ชาวปาเลสไตน์ที่อยู่ในอาการเข้าตาจน พากันดิ้นรนหาทางหลบหนีออกจากดินแดนฉนวนกาซาในวันเสาร์ (14 ต.ค.) หรือไปเบียดเสียดกันเป็นหมื่นๆ คนอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในพื้นที่ซึ่งตกเป็นเป้าหมาย ด้วยความหวังว่ามันจะได้รับการยกเว้นไม่ถูกโจมตี ขณะที่อิสราเอลยิ่งเพิ่มทวีคำเตือนจะยกกำลังทหารบุกใหญ่ทั้งทางอากาศ ภาคพื้นดิน และทางทะเล ภายหลังพวกนักรบฮามาสบุกเข้าไปโจมตีเข่นฆ่าในอิสราเอลเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน




เวลาเดียวกับที่พวกผู้ทำงานในค่ายทหารอิสราเอลแห่งหนึ่งยังคงใช้ความพยายามต่อไปตลอดวันหยุดงานตามหลักศาสนายิว เพื่อตรวจสอบพิสูจน์อัตลักษณ์ของผู้คนกว่า 1,300 คนที่ถูกสังหารไปจากการโจมตีของฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ฝ่ายทหารอิสราเอลก็ได้ทิ้งใบปลิวจากทางอากาศและเน้นย้ำคำเตือนผ่านทางสื่อสังคมให้ชาวบ้านชาวเมืองผู้พำนักอยู่ทางตอนเหนือของดินแดนฉนวนกาซามากกว่า 1 ล้านคน ต้องอพยพโยกย้ายลงไปทางใต้

ฝ่ายทหารอิสราเอลประกาศว่ากำลังพยายามเคลียร์พลเรือนออกไป ก่อนหน้าการเปิดปฏิบัติการแบบรวมศูนย์กำลังเพื่อโจมตีเล่นงานพวกนักรบฮามาสในตอนเหนือของกาซา รวมไปถึงในบริเวณที่อิสราเอลอ้างว่าเป็นพื้นที่หลบซ่อนใต้ดินในเมืองกาซาซิตี้ ขณะที่กลุ่มฮามาสก็รบเร้าประชาชนให้อยู่รักษาบ้านเรือนของพวกเขาต่อไป

ทางด้านสหประชาชาติและกลุ่มให้ความช่วยเหลือกลุ่มต่างๆ บอกว่า การให้ประชาชนจำนวนมหาศาลอพยพภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ บวกกับการที่อิสราเอลดำเนินการปิดล้อมพื้นที่เหล่านี้อยู่ จะก่อให้เกิดสถานการณ์ความทุกข์ยากเดือดร้อนของมนุษย์อย่างชนิดที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน องค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงว่า การอพยพเช่นนี้ “สามารถที่จะหมายถึงคำสั่งประหารชีวิต” สำหรับคนไข้กว่า 2,000 คนในโรงพยาบาลต่างๆ ทางตอนเหนือ รวมทั้งทารกแรกเกิดในตู้อบและผู้ป่วยในหน่วยดูแลผู้ป่วยหนัก

วิกฤตการณ์มนุษยธรรมที่กาซาได้เพิ่มความน่าเกลียดน่าขนลุกขึ้นอยู่แล้วในวันเสาร์ (14) ท่ามกลางสภาพการขาดแคลนน้ำและหยูกยาข้าวของทางการแพทย์ที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การปิดล้อมอย่างสมบูรณ์ของอิสราเอลซึ่งดำเนินมาเกือบ 1 สัปดาห์แล้ว โดยที่ยังมีการบังคับให้โรงไฟฟ้าต่างๆ ต้องปิดทำการเนื่องจากขาดแคลนเชื้อเพลิง

ในเมืองกาซาซิตี้ ไฮฟา ไฮฟา คามิส อัล-ชูราฟา (Haifa Khamis al-Shurafa) เบียดเข้าไปในรถยนต์คันหนึ่งพร้อมกับสมาชิกในครอบครัว 6 คน เพื่อหลบหนีไปทางใต้ท่ามกลางความมืดมิด

“พวกเราไม่สมควรที่จะต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้” ชูราฟา กล่าว ก่อนอำลาจากเมืองเกิดของเธอ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในฉนวนกาซา “พวกเราไม่ได้ฆ่าใครเลย” เธออุทธรณ์

การสั่งอพยพครั้งนี้ครอบคลุมชาวบ้านชาวเมืองประมาณ 1.1 ล้านคน หรือราวครึ่งหนึ่งของประชากรในดินแดนแห่งนี้ กองทัพอิสราเอลแถลงว่ามีชาวปาเลสไตน์ “หลายแสนคน” ได้กระทำตามคำเตือนและมุ่งหน้าลงใต้กันแล้ว ทั้งนี้ฝ่ายทหารอิสราเอลให้เวลาชาวปาเลสไตน์ 6 ชั่วโมงซึ่งสิ้นสุดลงในตอนบ่ายวันเสาร์ (14) สำหรับการเดินทางได้อย่างปลอดภัยภายในดินแดนกาซาตามเส้นทางหลักๆ 2 เส้นทาง

เวลาเดียวกัน ในอิสราเอล พวกคนทำงานในค่ายทหารแห่งหนึ่งได้รับอนุญาตเป็นพิเศษให้ยังคงทำงานต่อไปได้ สำหรับการระบุอัตลักษณ์ศพจำนวนมากกว่า 1,300 ศพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือน ที่ถูกพวกฮามาสสังหารไป ปกติแล้วการประกอบกิจการงานทั้งหลายในอิสราเอลจะต้องหยุดกันในวันเสาร์ ซึ่งถือเป็นวันหยุดงานประจำสัปดาห์ตามหลักศาสนายิวเพื่อการประกอบพิธีทางศาสนาและหยุดพักผ่อน

นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ได้เดินทางไปเยือนนิคมบีริ (Beeri) และนิคมคฟาร์ อัซซา (Kfar Azza) สองชุมชนเกษตรกรรมของอิสราเอลที่อยู่ติดชายแดนภาคใต้ ซึ่งพวกนักรบฮามาสได้บุกเข้าไปเข่นฆ่าสังหารชาวอิสราเอลตายหลายสิบคน เพื่อตรวจเยี่ยมพบปะพวกทหารและดูซากหักพังเสียหายของบ้านเรือนที่เกิดการนองเลือดขึ้นมา ทั้งนี้ เนทันยาฮูเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนักว่ารัฐบาลของเขาไม่ได้ทำอะไรอย่างเพียงพอในการพบปะปลอบขวัญพวกญาติๆ ของเหยื่อที่ถูกสังหาร

มีญาติๆ หลายร้อยคนของผู้คนจำนวนหลายสิบที่ถูกกลุ่มฮามาสจับกุมและนำตัวไปยังกาซา ไปชุมนุมกันอยู่ด้านนอกของกระทรวงกลาโหมอิสราเอลในนครเทลอาวีฟ เรียกร้องให้หาทางทำให้บุคคลซึ่งเป็นที่รักของพวกเขาได้รับการปล่อยตัว พวกผู้ประท้วงเหล่านี้ช่วยกันแจกจ่ายใบปลิวที่มีใบหน้าและชื่อของญาติๆ ของพวกเขาภายใต้ตัวหนังสือตัวโตๆ ว่า “ถูกจับเป็นตัวประกัน”

“นี่คือการที่ผมออกมาวิงวอนร้องขอต่อโลก ได้โปรดช่วยนำพวกเขากลับมา ครอบครัวของผม เมียผม และลูกอีก 3 คน” เป็นคำกล่าวของ อวิไฮ บรอดซ์ (Avihai Brodtz)
ซึ่งพำนักอยู่ที่คฟาร์ อัซซา หลายๆ คนแสดงความโกรธเกรี้ยวใส่รัฐบาล บอกว่าพวกเขายังคงไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารใดๆ เกี่ยวกับญาติๆ ของพวกเขากันเลย

ระหว่างการแถลงข่าวที่มีการแพร่ภาพและกระจายเสียงไปทั่วประเทศเมื่อคืนวันเสาร์ (14) พล.ร.ต.แดเนียล ฮาการี (Daniel Hagari) โฆษกของกองทัพอิสราเอลกล่าวหาฮามาสว่ากำลังพยายามที่จะใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ พร้อมกับเรียกร้องชาวบ้านชาวเมืองกาซาอีกครั้งให้อพยพไปทางใต้

“เรากำลังจะเข้าโจมตีเมืองกาซาซิตี้อย่างใหญ่โตกว้างขวางมากๆ ในเร็วๆ นี้” เขากล่าว โดยไม่ได้ให้ตารางเวลาการเข้าโจมตีดินแดนที่มีขนาดเล็กมากแห่งนี้ ซึ่งมีความยาวตั้งแต่ตอนเหนือลงมาจดใต้เพียงแค่ 40 กิโลเมตร แต่เป็นที่พำนักอาศัยของประชากรราว 2.3 ล้านคน

ทางด้าน จอห์น คอนริคัส (John Conricus) โฆษกคนหนึ่งของฝ่ายทหารอิสราเอล แถลงสำทับว่า “พลเรือนชาวปาเลสไตน์ในกาซาไม่ใช่ศัตรูของเรา เราไม่ได้ประเมินพวกเขาแบบนั้น และเราไม่ได้ตั้งเป้าหมายเล่นงานพวกเขาแบบนั้น เรากำลังพยายามทำในสิ่งที่ถูกต้อง”

อิสราเอลได้เรียกระดมกำลังทหารสำรองจำนวนราว 360,000 คนแล้ว และชุมนุมกองทหารพร้อมรถถังตามแนวชายแดนติดต่อกับกาซา รัฐมนตรีกลาโหม ลอยด์ ออสติน ของสหรัฐฯ แถลงในคืนวันเสาร์ (14) ว่า สหรัฐฯกำลังเคลื่อนหมู่เรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีหมู่ที่ 2 ซึ่งคราวนี้นำโดยเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ไปยังตะวันออกกลาง เพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้ตัวแสดงระดับภูมิภาคใดๆ หาทางขยายสงครามคราวนี้

พวกนักรบปาเลสไตน์นั้นได้ยิงจรวดเข้ามายังอิสราเอลมากกว่า 5,500 ลูกแล้วนับตั้งแต่ที่การสู้รบครั้งนี้ปะทุขึ้น ฝ่ายทหารอิสราเอลแถลงเอาไว้เช่นนี้

ทางฝ่ายฮามาสยังคงมีท่าทีท้าทายไม่ยอมจำนน ในการกล่าวปราศรัยทางทีวีเมื่อวันเสาร์ (14) เช่นกัน อิสมาอิล ฮานิเยะห์ (Ismail Haniyeh) เจ้าหน้าที่ในระดับท็อปผู้หนึ่งของฮามาส กล่าวว่า “การสังหารหมู่ทั้งหลายทั้งปวง” จะไม่สามารถทำให้ประชาชนชาวปาเลสไตน์แตกหักพังครืนลง

สำหรับในเวลานี้ การสู้รบยังคงดำเนินต่อไปในช่วงเวลาก่อนหน้าการรุกใหญ่ของฝ่ายอิสราเอลตามที่คาดหมายกันไว้ โดยที่ฮามาสได้ยิงจรวดเข้าไปในอิสราเอล และอิสราเอลก็ถล่มโจมตีเป้าหมายต่างๆ ในกาซา

การโจมตีทางอากาศของฝ่ายอิสราเอลหนหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นใกล้ๆ ค่ายผู้ลี้ภัยจาบาลิยะ (Jabaliya) ทางตอนเหนือของกาซา ได้สังหารผู้คนไปอย้างน้อย 27 คน และบาดเจ็บอีก 80 คน พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบด้านสาธารณสุขในกาซาบอก

เหยื่อเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กๆ พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบระบุ ขณะที่พวกแพทย์จากโรงพยาบาลคามัล เอดวาน (Kamal Edwan Hospital) ได้โพสต์วิดีโอซึ่งมองเห็นศพหลายศพที่ถูกไฟเผาดำเกรียมและอยู่ในลักษณะผิดรูปผิดร่าง

ชาวปาเลไตน์เฝ้ารอคอยที่ด่านราฟาห์ ซึ่งเป็นจุดข้ามแดนระหว่างฉนวนกาซากับอียิปต์เมื่อวันเสาร์ (14 ต.ค.) หลังมีข่าวว่าด่านตรวจแห่งนี้จะเปิดชั่วคราวเป็นระยะเวลาสั้นๆ  แต่แล้วจนถึงกลางคืนก็ยังคงไม่มีการเปิดด่านแต่อย่างใด

เด็กผู้หนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บจากการถล่มโจมตีของอิสราเอล ถูกนำตัวไปยังโรงพยาบาล อัล-ชิฟา ในเมืองกาซาซิตี้ วันศุกร์ (13 ต.ค.)
ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเมื่อเวลาล่วงเลยถึงช่วงบ่ายของวันเสาร์ (24) แล้ว ยังมีชาวปาเลสไตน์เหลืออยู่ในบริเวณตอนเหนือของกาซาอีกมากน้อยเพียงใด เป็นคำแถลงของจูเลียตต์ ทูมา (Juliette Touma) ผู้ทำหน้าที่โฆษกให้แก่องค์การเพื่อผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์แห่งสหประชาชาติ (U.N.agency for Palestinian refugees) แต่ประมาณการได้ว่ามีประชาชนราว 1 ล้านคนในกาซาที่ต้องกลายเป็นคนพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยไปภายในเวลา 1 สัปดาห์

ที่โรงพยาบาล อัล-ชิฟา (al-Shifa) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแห่งสำคัญที่สุดของนครกาซาซิตี้ มีผู้หญิงและแด็กๆ ซึ่งพวกเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ประมาณการว่า อยู่ในราว 35,000 คนเข้ามาอยู่กันแออัดตามห้องโถงและระเบียงที่ยงเต็มไปด้วยคราบเลือด รวมทั้งอยู่กันตามพื้นดินของโรงพยาบาล บางส่วนนั่งกันตามใต้ต้นไม้ ตลอดจนภายในห้องล็อบบี้ของอาคารโรงพยาบาล ด้วยความวาดหวังว่าจะได้รับการปกป้องคุ้มครองจากการสู้รบ

“คนเหล่านี้คิดกันว่านี่คือสถานที่ปลอดภัยเพียงแห่งเดียว หลังจากบ้านเรือนของพวกเขาถูกทำลาย และพวกเขาถูกบังคับให้ต้องอพยพหลบหนี” นพ.เมดฮัต อับบาส เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของกระทรวงสาธารณสุขกาซา กล่าว

เวลานี้ข้าวของจำเป็นพื้นฐานทั้งหลายอย่างเช่น อาหาร เชื้อเพลิง และน้ำดื่ม กำลังเหลือน้อยมากๆ เนื่องจากอิสราเอลประกาศใช้มาตรการปิดล้อมอย่างสมบูรณ์แบบ

น้ำประปาหยุดไหลออกจากก๊อกทั่วทั้งดินแดนกาซาแล้ว อามัล อบู ยาเฮีย (Amal Abu Yahia) คุณแม่วัย 25 ปีที่กำลังตั้งครรภ์และอาศัยอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยจาบาลิยะ เล่าว่า เธอเฝ้ารออย่างกระวนกระวายหลายนาทีเมื่อตอนที่น้ำที่เหมือนเปรอะเปื้อนสิ่งสกปรกหยดติ๋งๆ ออกมาจากท่อประปาในห้องใต้ถุนของเธอ เธอแบ่งน้ำที่ได้มาเหล่านี้ โดยมอบให้แก่ลูกชายวัย 5 ขวบ และลูกสาววัย 3 ขวบของเธอก่อนเป็นอันดับแรก เธอเล่าว่าตัวเธอดื่มน้ำน้อยมากๆ จนกระทั่งเธอปัสสาวะเพียงแค่วันเว้นวันเท่านั้น

บริเวณที่อยู่ใกล้ๆ กับแนวชายฝั่ง น้ำที่ไหลออกมาจากก๊อกมีเพียงน้ำที่ปนเปื้อนกับน้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เนื่องจากขาดแคลนเครื่องมือข้าวของสำหรับการทำน้ำสะอาดถูกหลักสุขอนามัย โมฮัมเหม็ด อิบรอฮิม (Mohammed Ibrahim) วัย 28 ปีเล่าว่า พวกเพื่อนบ้านของเขาในกาซาซิตี้ต้องยอมดื่มน้ำเค็มๆ ที่ปนเปื้อนน้ำทะเล

“กาซาไม่มีน้ำมาเกือบ 3 วันแล้ว เราไม่มีพลังงาน ไม่มีไฟฟ้า” เป็นคำกล่าวของอินาส ฮัมดัน (Inas Hamdan) ผู้ทำหน้าที่โฆษกคนหนึ่งให้แก่องค์การเพื่อผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์แห่งสหประชาชาติ “ถ้าหากไม่มีการเปิดพื้นที่ระเบียงเพื่อมนุษยธรรมใดๆ ขึ้นมาแล้ว ผลพวงที่จะเกิดขึ้นก็คือความวิบัติหายนะ”

คำสั่งอพยพของฝ่ายทหารอิสราเอลระบุให้ประชากรทั้งหมดของดินแดนแห่งนี้ต้องไปแออัดยัดเยียดกันในบริเวณครึ่งด้านใต้ของกาซา ขณะที่อิสราเอลยังคงดำเนินการถล่มโจมตีทางอากาศต่อไปอีก รวมทั้งในด้านใต้ด้วย

รามี สไวเลม (Rami Swailem) เล่าว่า เขาและครอบครัวอีกอย่างน้อย 5 ครอบครัวในอาคารของเขาตัดสินใจที่จะพำนักอยู่ในอพาร์ตเมนต์ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กาซาซิตี้กันต่อไป “เราตั้งรกรากอยู่ในผืนดินของเราเอง” เขากล่าว “เราเลือกที่ตายอย่างมีศักดิ์ศรีและเผชิญหน้ากับชะตากรรมของเรา”

คนอื่นๆ กำลังพยายามดิ้นรนอย่างจนตรอกในการมองหาหนทางอพยพโยกย้าย “เราจำเป็นต้องได้คนขับจำนวนหนึ่งเพื่อขับรถจากกาซาไปทางใต้ จำเป็นต้องได้รับ #ความช่วยเหลือ” เป็นข้อความหนึ่งที่ถูกโพสต์ทางโซเชียลมีเดีย

ควันลอยโขมงเหนืออาคารหลายหลังระหว่างการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลใส่เขตราฟาห์ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของดินแดนกาซา เมื่อวันเสาร์ (14 ต.ค.) ทั้งนี้ ถึงแม้อิสราเอลสั่งให้ประชากรครึ่งหนึ่งของกาซาอพยพลงใต้ แต่ก็ไม่ได้เพลามือในการถล่มทางอากาศใส่ทั้งด้านเหนือและทางใต้ของฉนวนกาซา

หน่วยทหารปืนใหญ่ของอิสราเอล ยิงจากบริเวณภาคใต้ของอิสราเอล โดยเล็งเป้าไปที่ดินแดนฉนวนกาซา เมื่อวันเสาร์ (14 ต.ค.)
องค์การเพื่อผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์แห่งสหประชาชาติ แสดงความห่วงใยสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถเดินทางออกไปได้ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีมีครรภ์ เด็กๆ คนแก่ และผู้ที่มีความพิการในด้านต่างๆ” และระบุว่าคนเหล่านี้ต้องได้รับการปกป้องคุ้มครอง ทางองค์การยังเรียกร้องอิสราเอลอย่าพุ่งเป้าหมายโจมตีพลเรือน โรงพยาบาล โรงเรียน คลินิก และสถานที่ต่างๆ ของสหประชาชาติ

โรงพยาบาล อัล-ชิฟา ต้องรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายร้อยคนในทุกๆ ชั่วโมง และใช้ข้าวของทางการแพทย์ที่ตนมีอยู่ไปแล้วราว 95% เป็นคำกล่าวของผู้อำนวยการโรงพยาบาล โมฮัมหมัด อบู เซลิม (Mohammad Abu Selim) เวลานี้น้ำกำลังเป็นสิ่งหายาก และเชื้อเพลิงสำหรับให้พลังแก่เครื่องปั่นไฟฟ้าของโรงพยาบาลก็ร่อยหรอลงเรื่อยๆ

“สถานการณ์ข้างในโรงพยาบาลอยู่ในสภาพน่าสังเวชจริงๆ ในทุกๆ ความหมายของคำๆ นี้” เขากล่าว “ห้องผ่าตัดทั้งหลายไม่มีการหยุดพักเลย”

ยังมีผู้คนอีกเป็นพันๆ ยัดทะนานเข้าไปตามโรงเรียนที่บริหารโดยยูเอ็นแห่งต่างๆ ทั่วทั้งกาซา

“ฉันมาที่นี่พร้อมกับลูกๆ ของฉัน พวกเราต้องนอนกันบนพื้น เราไม่มีที่นอนหรือเสื้อผ้า” โฮเวดา อัล-ซานีน (Howeida al-Zaaneen) วัย 63 ปี จากเมืองเบอิต ฮานูน (Beit Hanoun) ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของกาซา เล่า “ฉันต้องการกลับไปที่บ้านของฉัน ถึงแม้มันจะถูกทำลายพังไปแล้วก็ตามที”

กระทรวงสาธารณสุขของกาซาแถลงในวันเสาร์ (14) ว่า มีผู้คนในดินแดนแห่งนี้ถูกสังหารไปแล้วกว่า 2,200 คน ในจำนวนนี้ที่เป็นเด็กมี 724 คน และผู้หญิง 458 คน ส่วนสำนักงานการสื่อสารของฮามาส (Hamas communications office) ระบุว่าจนถึงตอนนี้อิสราเอลทำลายบ้านเรือนไปแล้วเป็นจำนวนมากกว่า 7,000 หน่วย

ที่จุดข้ามแดนราฟาห์ (Rafah) ของกาซา ซึ่งเป็นด่านสำหรับการข้ามเข้าไปยังอียิปต์ ประกาศที่ว่ามีการตกลงกันให้เปิดจุดข้ามแดนที่ปิดอยู่นี้เป็นช่วงสั้นๆ เพื่ออนุญาตให้ชาวต่างประเทศสามารถหลบหนีออกไปได้ สร้างความหวังทำให้มีฝูงชนจำนวนมากมารอคอยที่ประตูทางเข้าเมื่อวันเสาร์ (14) ทว่าข้อตกลงใดๆ ก็ตามถ้าหากมีก็คงจะล้มเลิกกันไปแล้ว โดยที่เวลาย่างเข้าช่วงกลางคืนแล้ว ก็ยังไม่มีการเปิดด่านข้ามแดนนี้แต่อย่างใด

ประมาณการกันว่ามีผู้คนในกาซาราว 1,500 คนถือพาสปอร์ตของชาติตะวันตก รวมทั้งที่ถือหนังสือเดินทางอเมริกันด้วยประมาณ 500 คน นอกจากนี้ ยังมีพลเมืองจากส่วนอื่นๆ ของโลก

การโจมตีทางภาคพื้นดินในดินแดนกาซาที่ประชากรหนาแน่น ย่อมน่าจะทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายของทั้งสองฝ่ายสูงขึ้นอีกมาก ในการต่อสู้อย่างเหี้ยมโหดเพื่อแย่งชิงพื้นที่กันจากบ้านหลังหนึ่งไปสู่บ้านอีกหลังหนึ่ง

รัฐมนตรีต่างประเทาศสหรัฐฯ แอนโทนี บลิงเคน ได้พบปะหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย ไฟซัล บิน ฟาร์ฮาน (Faisal bin Farhan) ในกรุงริยาดเมื่อวันเสาร์ (14) และทั้งสองฝ่ายต่างเรียกร้องอิสราเอลให้ปกป้องคุ้มครองพลเรือนในกาซา

บลิงเคนบอกว่า “ขณะที่อิสราเอลมุ่งดำเนินการตามสิทธิอันชอบธรรมของตนที่จะปกป้องประชาชนของตนเอง มันก็เป็นเรื่องทรงความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่พวกเราทุกๆ ฝ่ายจะต้องคอยให้ความช่วยเหลือพลเรือนทั้งหลายด้วย”
กำลังโหลดความคิดเห็น