ผู้รอดชีวิตจากแผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบระยะเวลากว่า 60 ปีของโมร็อกโก ต้องดิ้นรนหาอาหารและน้ำประทังชีพเมื่อวันอาทิตย์ (10 ก.ย.) ขณะที่การค้นหาผู้ที่สูญหายยังดำเนินต่อไปในหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งยากลำบากแก่การเข้าถึง และจำนวนผู้เสียชีวิตที่ทางการระบุว่ามีมากกว่า 2,000 คนแล้ว ก็ทำท่าว่าน่าจะเพิ่มขึ้นต่อไปอีก
ผู้คนจำนวนมากต้องนอนค้างแรมในที่โล่งแจ้งเป็นคืนที่ 2 ภายหลังเกิดแผ่นดินไหววัดความรุนแรงได้ 6.8 แมกนิจูดตั้งแต่เมื่อตอนคืนวันศุกร์ (8 ก.ย) พวกเจ้าหน้าที่บรรทุกทุกจ์เผชิญปัญหาหนักในการเข้าไปให้ถึงบรรดาหมู่บ้านที่ประสบภัยหนักหน่วงที่สุดในแถบเทือกเขาไฮแอตลาส ซึ่งเป็นแนวเทือกเขาทุรกันดารที่ชุมชนมักตั้งอยู่ในจุดที่ห่างไกล และมีบ้านเรือนจำนวนมากพังครืนลงมาภายหลังธรณีพิโรธคราวนี้
สื่อโมร็อกโกรายงานว่า มัสยิดสมัยศตวรรษที่ 12 ที่ทรงความสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง ได้ทลายลงมา เป็นการตอกย้ำความเสียหายที่เกิดขึ้นกับมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศ แผ่นดินไหวครั้งนี้ยังสร้างความเสียหายให้แก่หลายๆ ส่วนของเมืองเก่าแห่งมาร์ราเกซ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก
ในหมู่บ้าน มูเลย์ บราฮิม ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับจุดเหนือศูนย์กลางแผ่นดินไหว และอยู่ห่างจากเมืองมาร์ราเกซไปทางใต้ราว 40 กิโลเมตร ชาวบ้านพากันเล่าว่าพวกเขาต้องขุดเอาร่างผู้เสียชีวิตจากการกองปรักหักพังโดยอาศัยมือเปล่าๆ ของพวกเขา
“เราสูญเสียบ้านของเรา และเราสูญเสียญาติพี่น้องของเราด้วย แล้วเราคงต้องนอนกันตรงที่โล่งๆ ข้างนอกเป็นวันที่สอง” ยัสซิน นูมการ์ ชาวบ้านมูเลย์ บราฮิม วัย 36 ปี ครวญ
เขายังร้องเรียนเรื่องขาดแคลนทั้งน้ำ, อาหาร, และไฟฟ้า โดยที่แทบไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลเลย ซึ่งก็เป็นน้ำเสียงแสดงความหงุดหงิดผิดหวังที่ดังมาจากชาวบ้านคนอื่นๆ ด้วย
อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมาก็มีกระสอบบรรจุอาหารถูกลำเลียงลงมาจากรถบรรทุกคันหนึ่ง ซึ่ง มูฮาหมัด อัล-ฮายยัน เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกล่าวว่า เป็นความช่วยเหลือที่มาจากรัฐบาลและพวกองค์การประชาสังคมต่างๆ
มีศพ 25 ศพถูกนำไปไว้ที่คลินิกการแพทย์เล็กๆ ของมูเลย์ บาฮิม ตามคำบอกเล่าของพวกเจ้าหน้าที่ที่นั่นซึ่งเตือนด้วยว่า พวกเขากำลังเริ่มเจอปัญหาขาดแคลนข้าวของบางอย่างที่ต้องใช้สำหรับการปฐมพยาบาล
จากการที่บ้านเรือนจำนวนมากในพื้นที่แถบนี้สร้างกันด้วยอิฐทำจากโคลนตากแห้งและท่อนซุง จึงพากันพังครืนลงมาอย่างง่ายดายเมื่อเผชิญกับแผ่นดินไหวคราวนี้ ที่ถือเป็นครั้งที่ร้ายแรงที่สุดของโมร็อกโกนับตั้งแต่ปี 1960 เมื่อตอนที่เกิดธรณีพิโรธซึ่งผลาญชีวิตผู้คนไปอย่างน้อยที่สุด 12,000 คน ทั้งนี้ตามรายงานของสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลานี้มีเต็นท์ชั่วคราวหลายหลังตั้งขึ้นมาในสนามฟุตบอลที่เต็มไปด้วยฝุ่น
ชาวบ้านจำนวนมากห่อตัวเองอยู่ในผ้าห่มหลังจากนอนอยู่กลางแจ้งมาแล้ว 1 คืน ชายผู้หนึ่งซึ่งกำลังขนเอาเครื่องนอนและเสื้อผ้าออกมาจากบ้านที่พังทะลายของเขา บอกว่า เขาเชื่อว่าพวกเพื่อนบ้านของเขายังคงอยู่ใต้กองปรักหักพัง
ในหมู่บ้านอามิซมิซ ที่อย่ห่างจากมูเลย์ บราฮิม ไปทางตะวันตก 27 กิโลเมตร พวกชาวบ้านก็ต้องดิ้นรนหาอาหารเช่นกัน ชาวบ้านบางคนบอกว่าต้องใช้ผ้าห่มมาทำเต็นท์ เนื่องจากเต็นท์ที่รัฐบาลแจกจ่ายนั้นไม่เพียงพอ
ขณะที่รัฐบาลโมร็อกโกแถลงในวันเสาร์ (9) ว่า กำลังใช้มาตรการเร่งด่วนต่างๆ เพื่อรับมือกับภัยพิบัติคราวนี้ เป็นต้นว่าการเสริมกำลังทีมค้นหาและกู้ภัย, การจัดหาจัดส่งน้ำดื่ม, และการแจกจ่ายอาหาร เต็นท์ ตลอดจนผ้าห่ม
ฝรั่งเศสประกาศว่าพร้อมแล้วที่จะให้ความช่วยเหลือ โดยเวลานี้กำลังรอคำขออย่างเป็นทางการจากโมร็อกโก ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง กล่าวขณะยังร่วมประชุมซัมมิตกลุ่มจี20 อยู่ที่กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดียว่า ในวินาทีที่โมร็อกโกขอความช่วยเหลือมา ก็จะมีการดำเนินการกันในทันที
ยังมีประเทศอื่นๆ ที่เสนอให้ความช่วยเหลือเช่นกัน รวมทั้ง ตุรกี ซึ่งเพิ่งเผชิญแผ่นดินไหวใหญ่ในเดือนกุมภาพันธ์ที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 50,000 คน ทั้งนี้จนถึงวันอาทิตย์ ทีมกู้ภัยของตุรกียังไม่ได้ออกเดินทาง
อย่างไรก็ดี สเปนแถลงในวันอาทิตย์ว่าได้รับคำร้องขอความช่วยเหลือจากโมร็อกโกแล้ว และกำลังจะจัดส่งทีมค้นหาและกู้ภัยเข้าไป ทางด้านกาตาร์ก็เช่นกัน แถลงว่าทีมค้นหาและกู้ภัยของตนได้ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่โมร็อกโกแล้ว
คาโรลีน โฮลต์ ผู้อำนวยการด้านการปฏิบัติการทั่วโลก ของสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (IFRC) กล่าวว่า ระบบให้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศกำลงรอคำเชิญจากโมร็อกโก เพื่อจะได้เข้าไปช่วย เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นว่าต้องถือเป็นเรื่องผิดปกติ เนื่องจากรัฐบาลจะต้องประเมินความจำเป็นและความต้องการ
สำหรับตัวเลขจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายล่าสุดที่เผยแพร่โดยกระทรวงมหาดไทยโมร็อกโก เป็นตัวเลขตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ (9) ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตแล้ว 2,012 คน และบาดเจ็บ 2,059 ราย ในนั้น 1,404 รายอาการสาหัส
ขณะที่องค์การอนามัยโลกแถลงว่า มีผู้คนมากกว่า 300,000 คนได้รับความกระทบกระเทือนจากภัยพิบัติคราวนี้
ทางการโมร็อกโกได้ประกาศไว้ทุกข์ทั่วประเทศเป็นเวลา 3 วัน โดยระหว่างนี้จะมีการลดธงชาติลงครึ่งเสาทั่วประเทศ และสมเด็จพระราชาธิบดีโมฮัมเหม็ดที่ 6 ได้ทรงเรียกร้องให้จัดการละหมาดแก่ผู้เสียชีวิตตามมัสยิดต่างๆ ทั่วประเทศ
จุดเหนือศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งนี้ อยู่ห่างออกไป 72 กิโลเมตรทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองมาราเกซ นครซึ่งเป็นที่รักทั้งของชาวโมร็อกโกและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ จากการมีมัสยิด, พระราชวัง, และโรงเรียนสอนศาสนาที่เก่าแก่สวยงาม
เมืองมาราเกช มีกำหนดเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และเวิลด์แบงก์ ซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันที่ 9 ตุลาคม ในเรื่องนี้โฆษกของไอเอ็มเอฟ ตอบคำถามเกี่ยวกับแผนการประชุมดังกล่าวว่า "ในเวลานี้สิ่งที่เราให้ความสำคัญเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ประชาชนชาวโมร็อกโกและพวกเจ้าหน้าที่ที่กำลังรับมือกับโศกนาฏกรรมนี้"
(ที่มา: รอยเตอร์)
