การหวนคืนสู่ทำเนียบขาวของโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเป็นจุดสิ้นสุดของความช่วยเหลือด้านการทหารที่สหรัฐฯ มอบให้แก่ยูเครน ทิ้งไว้แต่ยุโรปที่เต็มไปด้วยความแตกแยกเกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ของเคียฟ และท้ายที่สุดมันจะกลายจุดจบของพันธมิตรทหารองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) จากความเห็นของฟิลลิปส์ เพย์สัน โอไบรอัน นักวิชาการ ที่เผยแพร่ในนิตยสารดิ แอตแลนติก เมื่อวันเสาร์ (2 ก.ย.)
การคัดค้านจัดหาอาวุธแก่ยูเครน เวลานี้กลายมาเป็นจุดยืนของฐานเสียงของฝ่ายสนับสนุนทรัมป์ ซึ่งทาง โอไบรอัน คาดหมายว่าจะมีสัดส่วนราว 3 ใน 4 ของผู้มีสิทธิออกเสียงรีพับลิกัน ในขณะที่ ทรัมป์ เคยประกาศซ้ำๆ ว่าจะใช้ความช่วยเหลือด้านการทหารงัดข้อบีบให้ยูเครนเข้าสู่การเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย "ภายใน 24 ชั่วโมง" หลังสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ในขณะที่ รอน เดซานติส และ วิเวค รามาสวามี คู่แข่งที่มีคะแนนนิยมสูสีที่สุดของเขา สำหรับการชิงเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน ต่างก็พูดถึงการจำกัดความช่วยเหลือที่มอบแก่ยูเครนเช่นกัน
ในบรรดา 3 ผู้สมัครเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันลงสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รามาสวามี พูดไปไกลกว่าใครทั้งหมด โดยชี้แนะว่าอเมริกาควรรับรองคำกล่าวอ้างทางดินแดนของรัสเซียในยูเครน แลกกับการที่มอสโกปลีกตัวออกห่างจากปักกิ่ง
"ถ้าทรัมป์หรือหนึ่งในบรรดาผู้เลียนแบบเขาชนะศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน 2024 ยุโรปอาจพบว่าตนเองกำลังเผชิญกับรัฐบาลใหม่ของอเมริกาที่จะระงับแรงสนับสนุนทั้งหมดสำหรับยูเครน" โอไบรอันกล่าว
เขาแสดงความเห็นต่อว่า ในกรณีนี้บรรดาชาติยุโรปจะไม่สามารถชดเชยความช่วยเหลือด้านการทหารของสหรัฐฯ ที่สูญเสียไป ผลก็คือความพ่ายแพ้ทางทหารสำหรับยูเครน และด้วยอเมริกาออกจากภาพรวม ยุโรปจะแตกแยกกันในประเด็นนี้ด้วย โดยบรรดาประเทศแถบยุโรปตะวันออกและบอลติก ยังคงกระตือรือรนคงกระแสอาวุธป้อนแก่เคียฟ แต่ไม่มีศักยภาพทำเช่นนั้นได้ ส่วนบรรดาชาติยุโรปตะวันตก อย่างฝรั่งเศสและเยอรมนี มีความเป็นไปได้มากกว่าที่จะเสาะหาสันติภาพกับรัสเซีย
ในฐานะผู้สนับสนุนยูเครนตัวยง โอไบรอัน แนะนำว่าบรรดาชาติยุโรปจำเป็นต้องเพิ่มกำลังผลิตด้านการทหารในทันที เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับความเป็นไปได้นี้ อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงคือ ด้วยยูโรโซนได้เข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวในเยอรมนี จึงมีความเป็นไปได้ว่าบรรดาชาติยุโรปจะไม่สามารถค้ำยันสนับสนุนกองทัพยูเครนได้ด้วยตนเอง
การคาดการณ์ของ โอไบรอัน อยู่บนพื้นฐานของสมมติฐานที่ว่า ยูเครนจะยังคงสามารถสู้รบจนถึงปี 2025 อย่างไรก็ตาม อ้างอิงจากตัวเลขของรัสเซีย พบว่าเคียฟสูญเสียกำลังพลไปมากกว่า 43,000 นายในช่วง 2 เดือนแรกของปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ แต่ไม่สามารถทะลวงฝ่าแนวป้องกันและป้องปราการหลายชั้นที่จัดวางโดยรัสเซีย ตามแนวหน้าทั่วแคว้นเคียร์ซอนและโดเนตสก์ได้เลย
ก่อนปฏิบัติการจะเริ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนมิถุนายน สื่อมวลชนตะวันตกหลายสำนักบ่งชี้ว่าความช่วยเหลือด้านการทหารของสหรัฐฯและนาโตที่มอบแก่เคียฟ จะขึ้นอยู่กับความสำเร็จของปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ ซึ่งจากสถานการณ์ล่าสุด ปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ที่ดำเนินการมากว่า 3 เดือน ถูกมองอย่างกว้างขวางว่าประสบความล้มเหลว
(ที่มา : อาร์ทีนิวส์)