เครมลินระบุมุ่งสานสัมพันธ์เปียงยางให้เข้มแข็ง ไม่ตอบข้อหาวอชิงตัน‘ปูติน-ผู้นำคิม’ส่งจม.ให้กัน จับมือซื้อขายกระสุน-อาวุธไปใช้ที่ยูเครน

เครมลินประกาศต้องการพัฒนาความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ แต่ไม่ได้ยืนยันคำแถลงของทำเนียบขาวที่ว่า ปูติน กับ คิม จองอึน แลกเปลี่ยนจดหมายกัน นอกจากนั้นรัสเซียยังเผยว่า สามารถสังหารและจับกุมกองกำลังพิเศษของยูเครนที่ลอบข้ามแดนหวังก่อวินาศกรรมในแคว้นบรีแยนสก์ ขณะที่ในยูเครน “เซเลนสกี้” แถลงประณามเรื่องที่มีการทุจริตอย่างเป็นระบบเพื่อหลบหลีกการถูกเกณฑ์ไปรบ

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (30 ส.ค.) ทำเนียบขาวแถลงเชิงกล่าวหาว่า รัสเซียซุ่มคุยกับเกาหลีเหนือเพื่อขอซื้อเครื่องกระสุนและอาวุธอื่นๆ จากเปียงยาง

จอห์น เคอร์บี้ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาวแจงว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย และคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ โต้ตอบกันทางจดหมายโดยให้คำมั่นว่า จะยกระดับความร่วมมือระหว่างกันภายหลังการเยือนเปียงยางของเซียร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียก่อนหน้านี้

ทั้งอเมริกา อังกฤษ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ประกาศในสหประชาชาติว่า ข้อตกลงซื้อขายอาวุธดังกล่าวเข้าข่ายละเมิดมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นที่รัสเซียเองร่วมรับรองด้วย

วอชิงตันยังเตือนว่า เกาหลีเหนืออาจจัดหาอาวุธให้รัสเซียเพิ่มอีก เพื่อนำไปใช้รบกับยูเครน และต้นเดือนสิงหาคมอเมริกาออกมาตรการแซงก์ชันนิติบุคคล 3 แห่งที่ถูกกล่าวหาว่า เกี่ยวข้องกับข้อตกลงซื้อขายอาวุธระหว่างเกาหลีเหนือกับรัสเซีย

เคอร์บี้สำทับว่า แม้ปฏิเสธ แต่เกาหลีเหนือก็ได้จัดหาจรวดประทับบ่าและขีปนาวุธให้รัสเซียเมื่อปีที่แล้วเพื่อใช้ในกลุ่มทหารรับจ้างของวากเนอร์ กรุ๊ปของรัสเซีย

ในวันพฤหัสฯ (31) ทางด้าน ดมิตรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน ไม่ได้ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวตรงๆ ว่า ผู้นำรัสเซีย-เกาหลีเหนือแลกเปลี่ยนจดหมายกันอย่างที่ทำเนียบขาวระบุหรือไม่ แต่บอกว่า มอสโกและเปียงยางมีความสัมพันธ์ที่ดีซึ่งต่างฝ่ายต่างเคารพกัน และต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไป โดยขณะนี้มีการติดต่อระหว่างเจ้าหน้าที่หลายระดับ ก่อนทิ้งท้ายว่า เกาหลีเหนือเป็นเพื่อนบ้านที่สำคัญมาก

ในอีกด้านหนึ่ง อเล็กซานเดอร์ โบโกแมซ ผู้ว่าการแคว้นบรีแยนสก์ ในรัสเซีย เผยว่า ผู้ก่อวินาศกรรมซึ่งเป็นสมาชิกกองกำลังพิเศษของยูเครน 2 คนถูกสังหาร และอีก 5 คนถูกจับระหว่างการบุกเข้าแคว้นแห่งนี้ที่อยู่ติดกับพรมแดนยูเครน

โบโกแมซเสริมว่า สมาชิกกองกำลังพิเศษของยูเครนกลุ่มนี้พยายามเข้าไปก่อการร้ายต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านการทหารและพลังงานในบรีแยนสก์เมื่อวันพุธ โดยใช้ปืนไรเฟิลอัตโนมัติที่ผลิตในอเมริกา รวมทั้งกระสุนและระเบิดมือมาตรฐานนาโต

หน่วยงานความมั่นคงกลางของรัสเซีย (เอฟเอสบี) ยืนยันว่า ได้สกัดการบุกข้ามพรมแดนในบรีแยนสก์ และกำลังเตรียมดำเนินการสอบสวนในคดีอาญา

ผู้ว่าการแคว้นบรีแยนสก์โพสต์ในเวลาต่อมาว่า รัสเซียยังได้สอยโดรนยูเครน 3 ลำร่วงในบรีแยนสก์ในวันพฤหัสฯ โดยไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อคืนวันอังคาร (29) รัสเซียยอมรับว่า แคว้นอย่างน้อย 6 แคว้นของตนซึ่งรวมถึงมอสโกและ สคอฟ ซึ่งอยู่ทางด้านเหนือขึ้นไปห่างยูเครนหลายร้อยกิโลเมตรได้ถูกโดรนโจมตี โดยในสคอฟนั้นเครื่องบินขนส่งทางทหาร 4 ลำได้รับความเสียหายจากการโจมตีสนามบิน

กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียประกาศว่า รัสเซียจะไม่ปล่อยให้ผู้โจมตีลอยนวล และสำทับว่า การโจมตีด้วยโดรนในพื้นที่ลึกเข้ามามากของรัสเซียเช่นนี้ ยูเครนไม่มีความสามารถทำได้หากไม่มีความช่วยเหลือจากตะวันตก

ด้านเปสคอฟเผยว่า รัสเซียกำลังตรวจสอบว่า โดรนเหล่านั้นถูกปล่อยมาจากที่ไหนเพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นควบคู่กับที่รัสเซียโจมตีทางอากาศต่อเคียฟหนักที่สุดในรอบหลายเดือน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 คน

สำหรับที่ยูเครน ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ แถลงประณามเรื่องที่มีการทุจริตอย่างเป็นระบบด้วยการใช้ข้อยกเว้นทางการแพทย์ เพื่อช่วยหลีกเลี่ยงการถูกเกณฑ์ไปรบ

เซเลนสกี้เสริมว่า สภาความมั่นคงและกลาโหมแห่งชาติได้พิจารณาข้อมูลที่รวบรวมมาซึ่งแสดงให้เห็นถึงระดับความแพร่หลายในการใช้ข้อยกเว้นทางการแพทย์ปลอม การติดสินบน และการหนีไปต่างประเทศ นับตั้งแต่ที่รัสเซียเปิดฉากรุกรานในเดือนกุมภาพันธ์ 2022

ผู้นำยูเครนสำทับว่า การตรวจสอบพบการทุจริตในหลายแคว้นและโดยเจ้าหน้าที่ในตำแหน่งต่างๆ มากมาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับสินบนตั้งแต่ 3,000-15,000 ดอลลาร์

ทั้งนี้ ในเดือนสิงหาคมเซเลนสกี้ปลดหัวหน้าศูนย์รับเกณฑ์ทหารในแคว้นต่างๆ ทั้งหมด และระบุว่า ได้เปิดการสอบสวนคดีอาญากว่า 100 คดี หลังพบการทุจริตในสำนักงานเกณฑ์ทหารในแคว้นโอเดสซาเมื่อเดือนกรกฎาคม

ยูเครนซึ่งถูกตราหน้ามานายปีแล้วว่าเป็นประเทศเต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่น กำลังแสดงตัวมุ่งปราบปรามการทุจริตครั้งใหญ่ หลังจากที่การรุกตอบโต้รัสเซียซึ่งดำเนินมา 2 เดือนแล้วยังคืบหน้าไปอย่างล่าช้า และในฝ่ายตะวันตกมีผู้ตั้งคำถามกันมากขึ้นว่า การทุ่มเทให้ความช่วยเหลือมหาศาลแก่เคียฟนั้นเป็นเรื่องคุ้มค่าหรือไม่ โดยเฉพาะท่ามกลางข่าวฉาวเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่น

(ที่มา: เอเอฟพี, รอยเตอร์)