‘สีจิ้นผิง’ เร่งกองทัพสู่ความทันสมัย เพิ่มความสามารถสู้รบในระยะไกลยิ่งขึ้น ด้านนักวิเคราะห์ชี้สะท้อนปักกิ่งเตรียมพร้อมรับภัยคุกคามจากอเมริกา
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (30 ก.ค.) สำนักข่าวซินหัวได้ถ่ายทอดคำปราศรัยของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ต่อกองบัญชาการยุทธบริเวณภาคตะวันตกของกองทัพอากาศแห่ง กองทัพปลดแอกประชาชนจีน ขณะเดินทางไปตรวจเยี่ยมเมื่อวันพุธที่แล้ว (26 ก.ค.) ซึ่งมีเนื้อหาระบุว่า จีนจำเป็นต้องเร่งปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัย เพิ่มอาวุธใหม่ และกองกำลังใหม่ๆ เพื่อเร่งสร้างสมรรถนะสู้รบ และบูรณาการเข้าไปในระบบการสู้รบ
เวลาใกล้เคียงกัน หนังสือพิมพ์เจ่ฟ่างจิ้ว์นเป้า ของพีแอลเอ ได้ออกบทบรรณาธิการในฉบับวันอังคาร (1 ส.ค.) ซึ่งเป็นวันครบรอบ 96 ปีการก่อตั้งพีแอลเอ ระบุว่า กองทัพจีนได้เพิ่มความสามารถในการทำภารกิจทางทหารที่หลากหลายในขอบเขตกว้างขวางยิงขึ้น
ทั้งนี้ ในปีนี้จีนอวดแสนยานุภาพทางทหารอย่างเต็มที่ เพิ่มความถี่ในการเคลื่อนกำลังพลและในการฝึกซ้อม ตลอดจนถึงส่งสัญญาณว่า อาจปล่อยเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่ 3 ซึ่งมีเทคโนโลยีก้าวหน้าที่สุดของตนลงทะเลทดสอบในเร็วๆ นี้ และยังกระชับความสัมพันธ์ทางการทหารกับรัสเซีย
นักวิเคราะห์บางคนมองว่าความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนถึงความรับรู้เข้าใจของจีนที่ว่า มีภัยคุกคามจากภายนอกเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ และพันธมิตรของสหรัฐฯ และดังนั้น ปักกิ่งจึงกำลังเบ่งกล้ามสำแดงบารมีเพื่อเป็นการสำทับข้อความทางการเมืองของตน
“เหตุผลของเรื่องนั้นมันก็ง่ายๆ นั่นคือ โลกไม่ได้มีสันติภาพ และภาวะแวดล้อมภายนอกซึ่งจีนเผชิญอยู่ก็เลวร้ายลงเรื่อยๆ” ซ่ง จงผิง นักวิเคราะห์ทางการทหารชาวจีนกล่าว พร้อมกับชี้เรื่องที่จีนมีการซ้อมรบอย่างเข้มข้นขึ้นและบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ
ในอีกด้านหนึ่ง อเมริกาก็กำลังเพิ่มการเคลื่อนกำลังทหารในภูมิภาค รวมทั้งกระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรเดิมและเพื่อนใหม่ในเอเชีย ซึ่งกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่จีนเรียกร้องให้วอชิงตันหลีกเลี่ยงการเฉียดใกล้ชายฝั่งของตน หากต้องการฟื้นการเจรจาระหว่างกองทัพสองประเทศ
กระนั้น ดริว ธอมป์สัน นักวิจัยอาคันตุกะอาวุโส ของวิทยาลัยนโยบายสาธารณะลีกวนยู มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ มองว่า การซ้อมรบของจีนเป็นการมุ่งส่งสัญญาณทางการเมืองมากกว่าทางการทหาร
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่พีแอลเอทำนั้น โดยเนื้อหาแล้วเป็นเรื่องทางการ” ธอมป์สัน บอก “เมื่อฝ่ายทหารของจีนดำเนินการซ้อมรบ ก็คือพวกเขากำลังสำแดงกำลัง –มันเป็นการมอบหรือการส่งข้อความไปยังประเทศอื่นๆ” เขาบอก
นับตั้งแต่ที่จีนจัดการซ้อมรบใหญ่บริเวณช่องแคบไต้หวัน หลังจากประธานาธิบดีไช่ อิงเหวินของไต้หวัน พบกับ เควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เมื่อเดือนเมษายน จีนยังจัดซ้อมรบและการตรวจการณ์ทางทะเลอย่างน้อยก็สิบกว่าครั้งแล้ว ทั้งในเขตทะเลญี่ปุ่นไปจนจดด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก
จีนยังกำลังเตรียมเรือบรรทุกเครื่องบินเพื่อขยายแสนยานุภาพและอิทธิพลนอกน่านน้ำของประเทศ โดยแม้ยังอยู่ในโหมดการฝึก แต่ปักกิ่งได้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินซานตงแล่นสู่มหาสมุทรแปซิฟิกในระยะทางไกลขึ้นกว่าเดิม
พวกผู้ช่วยทูตทหารและนักวิเคราะห์ในภูมิภาคกำลังเฝ้าติดตามว่า การเตรียมการปล่อยเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่ 3 ซึ่งมีชื่อว่า ฝู่เจี้ยน ของจีน ที่ว่ากันว่ามีเทคโนโลยีขั้นสูงขึ้นไปอีก ลงทดสอบในทะเล จะเป็นสัญญาณความคืบหน้าด้านปฏิบัติการและเทคโนโลยีของแดนมังกรหรือไม่
ทั้งนี้ เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สถานีโทรทัศน์ส่วนกลาง (ซีซีทีวี) ของทางการจีนรายงานว่า การทดสอบเรือฝู่เจี้ยนจะเริ่มต้นขึ้นเร็วๆ นี้ แต่ไม่ได้ระบุกำหนดเวลาที่แน่นอน
ไม่เพียงกองทัพเรือ จีนยังเร่งเสริมสร้างสมรรถนะของกองทัพอากาศ โดยสื่อ เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ ของฮ่องกงรายงานเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมโดยอ้างอิงวิดีโอที่โพสต์บนออนไลน์ ที่เผยให้เห็นเครื่องบินขับไล่เทคโนโลยีหลบหลีกเรดาร์แบบ เจ-20 เวอร์ชันใหม่ติดตั้งเครื่องยนต์ดับเบิลยูเอส-15 ที่ผลิตในจีนเอง กำลังทะยานขึ้น ขณะที่รายงานอีกชิ้นระบุว่า เครื่องยนต์รุ่นใหม่จะทำให้ขอบเขตปฏิบัติการของเจ-20 ครอบคลุมไปถึงฐานทัพของอเมริกาในเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และเกาะกวม
ทั้งนี้ จีนมุมานะสร้างเครื่องยนต์สมรรถนะสูงสำหรับเครื่องบินมานานหลายทศวรรษ จนกระทั่งขณะนี้สามารถแข่งขันกับเครื่องยนต์ของตะวันตกและรัสเซียได้ ทว่า ยังไม่มีการเปิดเผยสมรรถนะของดับเบิลยูเอส-15 ออกมาแต่อย่างใด
นอกจากนั้นในงานแอร์โชว์เมื่อเร็วๆ นี้ยังมีการอวดโฉมเครื่องบินขนส่งแบบวาย-20 ในเวอร์ชันที่สามารถปฏิบัติภารกิจเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศได้
“มันเป็นการส่งสัญญาณในทางบวก ที่กองทัพอากาศจีนสามารถทำการฝึกซ้อมในทะเลที่อยู่ห่างไกลออกไป และสมรรถนะสู้รบอย่างเป็นระบบในระยะไกลของกองทัพอากาศจีนก็เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ” สื่อมวลชนของทางการจีน อ้างคำพูดของ สือ อิ๋ว์นเจีย นักบิน เจ-20 ผู้หนึ่งที่กล่าวไว้ในสัปดาห์ที่แล้ว
(ที่มา : รอยเตอร์)