รัฐบาลรัสเซียมีรายได้จากน้ำมันลดลงเกือบ 50% ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ จากคำกล่าวอ้างของ วัลลีย์ อเดเยโม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดี (15 มิ.ย.) ราว 6 เดือนหลังจากมาตรการกำหนดเพดานราคามีผลบังคับใช้
เพื่อสกัดรายได้ของรัสเซียตอบโต้กรณีรุกรานยูเครน ในขณะเดียวกัน คงไว้ซึ่งอุปทานน้ำมันรัสเซียในตลาดโลก บรรดาพันธมิตรที่ประกอบด้วยกลุ่มจี7 สหภาพยุโรปและออสเตรเลีย ได้ออกมาตรการกำหนดเพดานราคาน้ำมันดิบรัสเซียไว้ที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเดือนธันวาคม
อเดเยโม กล่าวในถ้อยแถลงว่า "รายได้จากน้ำมันที่ลดลงจาก 1 ปีก่อน เกิดขึ้นแม้ว่าในทุกวันนี้ รัสเซียกำลังส่งออกน้ำมันดิบมากกว่าที่พวกเขาส่งออกในช่วงต้นของสงคราม แม้ส่งออกมากขึ้น แต่รัสเซียกำลังทำเงินน้อยลง เพราะว่าปัจจุบันน้ำมันของพวกเขามีการซื้อขายในราคาที่ต่ำกว่าน้ำมันอื่นๆ ของโลกราว 25%"
เมื่อถามว่าวอชิงตันประเมินรายได้ของรัสเซียอย่างไร เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังรายหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนามบอกว่าสหรัฐฯ มีเครื่องมือหลายอย่าง ในนั้นรวมถึงสังเกตการณ์ราคาตลาดที่พวกผู้ส่งออกได้รับจากการขายน้ำมัน
เจ้าหน้าที่รายนี้กล่าวต่อว่า บรรดาเจ้าหน้าที่รัสเซียเองก็เคยอ้างถึงแรงกดดันจากรายได้น้ำมันที่ลดต่ำลง พร้อมระบุจนถึงตอนนี้ยังไม่มีแผนว่าเมื่อไหร่จะมีการยกเลิกเพดานราคาดังกล่าว
สำหรับตอนนี้ รัสเซียกำลังพิจารณาจำกัดกรอบขั้นต่ำของความสูญเสียด้านรายได้ ด้วยการปลีกตัวออกจากการจัดเก็บภาษีน้ำมันอูราลบนพื้นฐานของราคาตลาด โดยเจ้าหน้าที่รัสเซียจะหันไปคำนวณภาษีผ่านราคาสมมติฐานหนึ่งแทน จากความเห็นของอเดเมโย
อเดเยโม กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวบ่งชี้ว่าบรรดาบริษัทน้ำมันรัสเซียจะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น แม้ว่ามาตรการจำกัดเพดานราคาส่งผลกระทบต่อรายได้ของพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว พร้อมระบุการเปลี่ยนแปลงใดๆ เท่ากับเป็นการปรับลดราคาลงอย่างมาก สืบเนื่องจากผลกระทบของมาตรการจำกัดเพดานราคา
นอกจากนี้ อเดเยโม ระบุด้วยว่า มาตรการคว่ำบาตรและมาตรการควบคุมการส่งออกทำให้เป็นเรื่องยากลำบากที่รัสเซียจะหาอะไหล่มาทดแทนอุปกรณ์มากกว่า 10,000 ชิ้นที่พวกเขาสูญเสียไปท่ามกลางสงคราม
(ที่มา : เอเอฟพี)
