หน่วยงานกำกับดูแลของอเมริกาเร่งคลอดมาตรการฉุกเฉินในวันอาทิตย์ (12 มี.ค.) หวังให้คลายความกังวลเกี่ยวกับระบบการธนาคารของสหรัฐฯ ภายหลังซิลลิคอน แวลลีย์ แบงก์ (เอสวีบี) ล้ม ซึ่งถือเป็นการล่มสลายของแบงก์ครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ นับจากวิกฤตการเงินโลกปี 2008
ท่ามกลางความกังวลว่า สถานการณ์ของเอสวีบีอาจลุกลามครอบคลุมไปทั่วอุตสาหกรรมการเงินทั้งหมด ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ออกมาประกาศขึงขังเมื่อวันอาทิตย์ว่า จะนำตัวผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องใน “ความวุ่นวายนี้” มารับผิดชอบปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด และจะเปิดเผยมาตรการใหม่ๆ เพื่อรักษาระบบการธนาคารที่ยืดหยุ่นของอเมริกา ในช่วงเช้าวันจันทร์ (13) ตามเวลาในสหรัฐฯ
ไบเดนสำทับว่า ประชาชนและธุรกิจอเมริกันมั่นใจได้ว่าเงินฝากในธนาคารจะยังคงอยู่ที่นั่นเมื่อพวกเขาต้องการมัน
วันเดียวกันนั้น หน่วยงานด้านการเงินของสหรัฐฯ ที่รวมถึงกระทรวงการคลังออกคำแถลงร่วมระบุว่า ผู้ฝากเงินกับเอสวีบีจะเข้าถึง “เงินทั้งหมดของตน” ตั้งแต่วันจันทร์ โดยที่ผู้เสียภาษีจะไม่ต้องแบกรับความเสียหายเหล่านี้
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สถาบันรับประกันเงินฝากสหรัฐฯ (เอฟดีไอซี) และกระทรวงคลัง แถลงเพิ่มเติมว่า ผู้ฝากเงินกับซิกเนเจอร์ แบงก์ ธนาคารระดับภูมิภาคอีกแห่งหนึ่งซึ่งตั้งยู่ในนิวยอร์ก ที่ปล่อยกู้ให้อุตสาหกรรมเงินตราคริปโตฯ และถูกสั่งปิดเมื่อวันอาทิตย์หลังจากราคาหุ้นดิ่งเหว จะสามารถถอนเงินฝากคืนทั้งหมดเช่นเดียวกัน
เฟดยังประกาศว่า จะจัดตั้งกองทุนพิเศษเพื่อช่วยให้พวกธนาคารพาณิชย์ตอบสนองความต้องการของผู้ฝากเงิน ซึ่งรวมถึงการขอถอนเงิน
คำแถลงร่วมของพวกหน่วยงานกำกับดูแลภาคการเงินของสหรัฐฯ ระบุอีกว่า ได้ดำเนินการมาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อปกป้องเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ด้วยการเสริมสร้างความเชื่อมั่นของสาธารณชนที่มีต่อระบบการธนาคารของประเทศ พร้อมยืนยันว่า ระบบการธนาคารของอเมริกาจะยังยืดหยุ่นและอยู่บนรากฐานที่มั่นคง ซึ่งส่วนใหญ่สืบเนื่องจากการปฏิรูปอุตสาหกรรมการธนาคารภายหลังวิกฤตการเงินโลกปี 2008
ทั้งนี้ เอฟดีไอซีจะทำหน้าที่ให้ความคุ้มครองเงินฝากในมูลค่าไม่เกิน 250,000 ดอลลาร์ต่อคนและต่อธนาคาร
อย่างไรก็ตาม วอชิงตันโพสต์รายงานว่า กฎหมายการธนาคารของสหรัฐฯ อนุญาตเอฟดีซีให้ความคุ้มครองไปถึงเงินฝากที่จริงๆ แล้วอยู่นอกการคุ้มครองด้วย หากการไม่ดำเนินการเช่นนั้นจะทำให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบ
ทั้งนี้ ตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10) หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ได้เข้าควบคุมเอสวีบี ซึ่งเป็นผู้ปล่อยกู้หลักให้พวกกิจการสตาร์ทอัปทั่วอเมริกามาหลายสิบปีนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 หลังจากลูกค้าแห่ไปถอนเงินและทำให้ธนาคารขนาดกลางแห่งนี้ไม่สามารถดำเนินการด้วยตัวเองต่อไปได้
นอกจากนั้น ไม่กี่ชั่วโมงก่อนออกคำแถลงร่วมเมื่อวันอาทิตย์ เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์เครือข่ายโทรทัศน์ซีบีเอสว่า รัฐบาลจะไม่เข้าไปอุ้มเอสวีบีในการป้องกันไม่ให้ปัญหาของแบงก์แห่งนี้ลุกลามไปทั่วระบบการเงิน
อย่างไรก็ดี อนาคตที่ไร้ความแน่นอนของเอสวีบีและเงินฝากนับแสนล้านดอลลาร์ในแบงก์แห่งนี้ ในที่สุดแล้วทำให้เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลัง เฟด และเอฟดีไอซี ต้องเร่งหาทางออกเมื่อวันอาทิตย์ หรือไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ตลาดการเงินในเอเชียจะเปิดทำการสำหรับสัปดาห์นี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ตลาดการเงินแตกตื่น
เยลเลนสำทับว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการทำให้แน่ใจว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับแบงก์หนึ่งจะไม่แพร่เชื้อไปสู่แบงก์อื่นๆ ที่ยังมั่นคงแข็งแกร่ง
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อวันจันทร์ (13) แบงก์ยักษ์ใหญ่ เอชเอสบีซี ตกลงเข้าซื้อธนาคารในเครือของเอสวีบีที่อยู่ในอังกฤษ ด้วยราคา 1 ปอนด์ภายใต้ข้อตกลงช่วยกู้ฟื้นกิจการที่กำกับดูแลโดยธนาคารกลางและรัฐบาลอังกฤษ โดยจะมีการรับประกันเงินฝากของลูกค้าที่รวมถึงธุรกิจรายใหญ่ในภาคเทคโนโลยีและชีววิทยาศาสตร์ พร้อมยืนยันว่า จะไม่มีการนำภาษีของประชาชนมาใช้
แบงก์ชาติและรัฐบาลอังกฤษเข้าแทรกแซงกรณีนี้หลังจากสรุปว่า สภาพคล่องและความเชื่อมั่นตกต่ำถึงระดับที่บ่งชี้ว่า สถานะของแบงก์เอสวีบีในอังกฤษไม่สามารถฟื้นคืนได้
ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ เจเรมี ฮันต์ รัฐมนตรีคลังอังกฤษ เตือนว่า ภาคเทคโนโลยีและชีววิทยาศาสตร์ของอังกฤษมีความเสี่ยงรุนแรงภายหลังเอสวีบีถูกปิด เนื่องจากแบงก์แห่งนี้ปล่อยกู้ให้ธุรกิจที่มีอนาคตสดใสที่สุดบางแห่งของอังกฤษ
สำหรับการล้มของเอสวีบีคราวนี้ถือเป็นการล่มสลายของแบงก์ครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ นับจากกรณีของ วอชิงตัน มิวชวล ในปี 2008
เอสวีบี ซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักมากนัก มีนโยบายมุ่งเน้นการระดมทุนให้แก่สตาร์ทอัป และถือเป็นธนาคารใหญ่สุดอันดับที่ 16 ของอเมริกาในแง่สินทรัพย์ ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ 209,000 ล้านดอลลาร์ และเงินฝากราว 175,400 ล้านดอลลาร์เมื่อปลายปี 2022
นับจากวันศุกร์ที่ผ่านมา มีเสียงเรียกร้องมากขึ้นจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการเงินให้รัฐเข้าช่วยเหลือเอสวีบี ทว่า เยลเลนระบุว่า การปฏิรูปภายหลังวิกฤตการเงินปี 2008 ไม่เปิดช่องให้รัฐบาลพิจารณาทางเลือกนี้
ในคำแถลงเมื่อวันอาทิตย์ หน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการธนาคารของสหรัฐฯ ย้ำว่า ผู้ถือหุ้นและผู้ถือครองตราสารหนี้บางรายที่ไม่ได้รับการค้ำประกันตามกฎหมาย จะยังคงไม่ได้รับความคุ้มครอง ขณะที่เจ้าหน้าที่เฟดระบุว่า นักลงทุนในแบงก์ทั้ง 2 แห่งที่ล้มจะสูญเสียทุกสิ่ง และผู้บริหารอาวุโสของแบงก์เหล่านี้จะต้องรับผิดชอบความสูญเสียและถูกปลดออก
คำแถลงร่วมสำทับว่า เป้าหมายหลักของความเคลื่อนไหวเหล่านี้คือเพื่อรับประกันกับลูกค้าของธนาคารว่า พวกเขาจะได้รับเงินฝากคืน
(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์)