ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ใช้ประโยชน์จากวาระรำลึกสงครามโลกครั้งที่ 2 ในวันพฤหัสบดี (2 ก.พ.) เรียกเสียงสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารในยูเครน เปรียบเทียบความขัดแย้งดังกล่าวกับการสู้รบต่อต้านการรุกรานของนาซีเยอรมนี พร้อมพูดเป็นนัยว่ามอสโกอาจใช้อาวุธนิวเคลียร์
ปูติน ใช้สงครามโลกครั้งที่ 2 โปรโมตวาระทางการเมืองของตนเองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยเครมลินหาทางปลูกฝังศรัทธาต่อชัยชนะของมอสโก ในสิ่งที่ชาวรัสเซียทั้งหลายขนานนามว่า "มหาสงครามรักชาติ
(The Great Patriotic War)"
แต่สำหรับปีนี้ ในตอนที่เดินทางมาถึงเมืองโวลโดกราด ทางภาคใต้ของประเทศ เพื่อร่วมพิธีรำลึกครบรอบ 80 ปี ชัยชนะของสหภาพโซเวียตเหนือนาซีที่สมรภูมิสตาลินกราด ประธานาธิบดีปูติน หาทางเรียกเสียงสนับสนุนการบุกจู่โจมยูเครน
เขาเปรียบเทียบสิ่งที่รัสเซียเรียกว่าปฏิบัติการพิเศษด้านการทหารในยูเครน กับการทำสงครามกับเยอรมนีในปี 1941-1945 และอ้างว่ารัสเซียพร้อมเดินหน้าไปจนกว่าจะถึงจุดจบ
"เป็นอีกครั้งและอีกครั้งที่เราถูกบีบให้ต้องขับไล่การร่วมกันรุกรานของตะวันตก" ปูตินกล่าว "เราไม่ได้ส่งรถถังเข้าไปในดินแดนของพวกเขา แต่เรามีบางอย่างสำหรับตอบโต้ และมันจะไม่ใช่แค่การใช้ยานเกราะ ทุกคนควรตระหนักในเรื่องนี้ สงครามสมัยใหม่กับรัสเซีย จะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง" เขาระบุ
นับตั้งแต่สงทหารเข้าไปในยูเครน ชาติฝักใฝ่ยุโรป ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ปีก่อน ปูติน ขู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกี่ยวกับการใช้อาวุธนิวเคลียร์กับตะวันตก หากว่าความขัดแย้งลุกลามบานปลาย "มันไม่น่าเชื่อ แต่มันเป็นความจริง เราถูกคุกคามโดยรถถังลีโอพาร์ดของเยอรมนีอีกแล้ว"
พิธีรำลึกในเมืองทางภาคใต้ของรัสเซียแห่งนี้ มีขึ้นในขณะที่เครมลินเตรียมยกระดับปฏิบัติการรุกรานในยูเครน หลังจากระดมทหารกองหนุนหลายแสนนายเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีก่อน
สมรภูมิสตาลินกราดระหว่างปี 1942-43 สู้รบกันอย่างดุเดือดนานเกือบ 6 เดือน และครั้งที่มันจบลง เมืองแห่งนี้เหลือแต่ซากปรักหักพัง และพบทหารและพลเรือนเสียชีวิตมากกว่า 1 ล้านคน
ชัยชนะของกองทัพแดง ไม่ได้เป็นจุดเปลี่ยนเฉพาะกับสหภาพโซเวียต ซึ่งประสบความปราชัยหนักหน่วงหลายสมรภูมิ แต่มันยังเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรอีกด้วย
เมื่อเร็วๆ นี้ รัสเซียกล่าวอ้างว่า สามารถรุกคืบเมืองบัคมุต ในแคว้นโดเนตสก์ ทางภาคตะวันออกของยูเครน หลังจากเพิ่งเข้ายึดเมืองโซเลดาร์ ที่อยู่ใกล้กัน ในความพยายามเข้าควบคุมพื้นที่ทั้งหมดของแคว้นแห่งนี้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มอสโกกล่าวอ้างผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน
(ที่มา : เอเอฟพี)