สหรัฐฯ ในวันอังคาร (6 ธ.ค.) ระบุไม่สนับสนุนยูเครน ในการโจมตีเข้าใส่ดินแดนรัสเซีย หลังเกิดเหตุยิงถล่มฐานทัพหลายแห่งซึ่งอยู่ในพื้นที่ชั้นในของรัสเซียลึกเข้าไปจากชายแดนหลายร้อยกิโลเมตร และถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็นฝีมือของเคียฟ
"เราทั้งไม่สนับสนุนและไม่ได้เปิดทางให้ยูเครนโจมตีภายใต้ดินแดนของรัสเซีย" แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ บอกกับผู้สื่อข่าว "แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องเข้าใจว่ายูเครน ใช้ชีวิตผ่านพ้นไปทุกๆ วันกับการรุกรานของรัสเซีย" เขากล่าว โดยกล่าวหารัสเซียกำลังใช้ฤดูหนาวเป็นอาวุธ" ผ่านการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางพลเรือน
บลิงเคน ประกาศว่า "เรามีความมุ่งมั่นสร้างความมั่นใจว่าพวกเขา เช่นเดียวกับพันธมิตรอื่นๆ มากมายทั่วโลก จะมีเครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นสำหรับป้องกันตนเองอยู่ในมือ เพื่อปกป้องดินแดนของพวกเขา เพื่อปกป้องเสรีภาพของพวกเขา"
พวกผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ายูเครนเจาะน่านฟ้าของรัสเซียด้วยโดรนดั้งเดิมยุคสมัยสหภาพโซเวียต ไม่ใช่อาวุธใดๆ จากความช่วยเหลือด้านการทหารหลายพันล้านดอลลาร์ที่ได้รับมอบจากตะวันตก นับตั้งแต่ถูกมอสโกเปิดฉากรุกรานยูเครนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์
ด้าน ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวระหว่างแถลงข่าวร่วมกับ บลิงเคน หลังพูดคุยหารือกับบรรดารัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรเลีย ว่าวอชิงตันจะไม่ห้ามยูเครนจากการพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลด้วยตนเอง "คำตอบสั้นๆ คือ ไม่ แน่นอนว่าเราจะไม่ทำเช่นนั้น เราจะไม่หาทางขัดขวางยูเครนจากการพัฒนาศักยภาพของตนเอง"
รัสเซียเผยว่ามีผู้เสียชีวิต 3 ราย และเครื่องบินได้รับความเสียหาย 3 ลำในเหตุโจมตีฐานทัพ 3 แห่งที่อยู่ลึกภายในดินแดนของพวกเขาเมื่อวันจันทร์ (5 ธ.ค.)
ก่อนหน้านี้ เนด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อถูกถามเกี่ยวกับเหตุโดรนโจมตีในดินแดนรัสเซีย โดยเขาไม่ได้พูดอย่างชัดเจนว่าสหรัฐฯ จัดหาโดรนเหล่านั้นแก่ยูเครนหรือไม่ ซึ่งเคียฟเองก็ไม่ได้กล่าวอ้างความรับผิดชอบใดๆ ต่อเหตุโจมตีดังกล่าว
"เราจัดหาแก่ยูเครน ในสิ่งที่จำเป็นสำหรับใช้ในดินแดนอธิปไตยของพวกเขา ในแผ่นดินยูเครน เพื่อจัดการกับผู้รุกรานรัสเซีย" ไพรซ์กล่าว ขณะเดียวกันเขาก็ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวหนึ่งของวอลล์สตรีท เจอร์นัล ที่อ้างว่าอเมริกาปรับแก้ระบบ HIMARS ที่ส่งมอบแก่ยูเครน ระบบจรวดที่ถูกมองว่าเป็นตัวเปลี่ยนเกมในสมรภูมิรบ เพื่อปกป้องไม่ให้เคียฟยิงเข้าไปในดินแดนของรัสเซีย
ที่ผ่านมา ประธานาธบดีโจ ไบเดน พูดต่อสาธารณะว่าวอชิงตันจะไม่มอบขีปนาวุธพิสัยไกลแก่ยูเครน ด้วยกังวลว่ามันอาจทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย และผลักให้สหรัฐฯ เผชิญหน้าโดยตรงกับรัสเซียมากยิ่งขึ้น
ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ มีขึ้นในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน เดินทางไปตรวจเยี่ยมทหารที่อยู่ใกล้แนวหน้าทางตะวันออกของประเทศในวันอังคาร (6 ธ.ค.) พร้อมแสดงความขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้องกับความพยายามสู้รบต่อต้านการรุกรานของรัสเซีย เนื่องในวันกองทัพของประเทศ
หลังจากนั้น เซเลนสกี ได้กล่าวปราศรัยถึงกำลังพล จากทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงเคียฟ โดยเผยว่าเขาใช้เวลาร่วมกับบรรดาทหารในดอนบาส สมรภูมิที่มีการสู้รบหนักหน่วงที่สุด และในแคว้นคาร์คิฟ พื้นที่ที่ยูเครนสามารถทวงดินแดนอย่างกว้างขวางคืนมาจากกองกำลังผู้รุกรานยูเครน
เขากล่าวว่า "ชาวยูเครนหลายพันคนเสียสละชีวิตตนเองเพื่อให้วันนั้นมาถึง วันที่จะไม่เหลือทหารผู้รุกรานในดินแดนของเราแม้แต่คนเดียว และวันที่ประชาชนของเราทั้งหมดจะได้รับการปลดปล่อย" เซเลนสกี ระบุ
นอกจากนี้ เขายังกล่าวขอบคุณบรรดาเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และพ่อแม่ของกำลังพล รวมถึงกล่าวต้อนรับกลับบ้านเชลยศึก 60 คน ที่ถูกส่งตัวกลับมาจากการแลกเปลี่ยนกับฝั่งรัสเซีย
ขณะเดียวกัน ในส่วนของฝ่ายรัสเซีย วังเครมลินเปิดเผยว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้พบปะกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงในวันอังคาร (6 ธ.ค.) เพื่อหารือเกี่ยวกับ "ความมั่นคงภายใน" และบอกว่ารัสเซียกำลังใช้มาตรการที่จำเป็น เพื่อปัดเป่าการโจมตีจากยูเครนในอนาคต
หนึ่งในเป้าหมายการโจมตีของยูเครนคือฐานทัพอากาศอีเกิลส์ ซึ่งเป็นโรงเก็บเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ที่รัสเซียใช้โจมตีโครงข่ายพลังงานของยูเครนตั้งแต่เดือนตุลาคม ขณะที่ทางยูเครนเผยว่าเครื่องบินที่ฐานทัพอีเกิลส์ ยังใช้ยิงขีปนาวุธโจมตีพวกเขาจากนอกดินแดนด้วย
เหตุการณ์โจมตีพื้นที่ชั้นในของรัสเซีย เกิดขึ้นหลังจากมอสโกยิงห่าขีปนาวุธถล่มโครงสร้างพื้นฐานทางไฟฟ้าและน้ำประปาของยูเครนต่อเนื่องมานานหลายสัปดาห์ ถาโถมแรงกดดันจากสงครามเข้าใส่พลเรือนของยูเครน ท่ามกลางฤดูหนาวที่คืบคลานมาเยือนแล้ว และการถูกตัดไฟยิ่งทำให้พวกเขาอ่อนแอต่อสภาพอากาศที่หนาวเหน็บมากยิ่งขึ้น
(ที่มา : เอเอฟพี/รอยเตอร์)