ทางการจีนเริ่มสอบสวนผู้ประท้วงต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ตามท้องถนนในหลายเมืองสำคัญ เช่น ปักกิ่ง และ เซี่ยงไฮ้ ในวันอังคาร (29 พ.ย.) ยังคงมีกำลังตำรวจจำนวนมากออกมารักษาสถานการณ์ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีสัญญาณของการผ่อนคลาย โดยคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติแถลงจะเร่งรัดฉีดวัคซีนป้องกันให้แก่คนสูงอายุ ซึ่งถือกันว่าเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้แดนมังกรยังลังเลไม่รีบยกเลิกนโยบายโควิดต้องเป็นศูนย์
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างผู้ที่เข้าร่วมการประท้วง 2 คนเผยว่า ได้รับโทรศัพท์ที่ปลายสายระบุว่า เป็นตำรวจปักกิ่ง ซึ่งต้องการให้พวกเขาไปรายงานตัวที่สถานีตำรวจในวันอังคาร (29) พร้อมรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับกิจกรรมที่ทำในช่วงคืนวันอาทิตย์ (27) ขณะที่นักศึกษาอีกคนเล่าว่า ถูกทางมหาวิทยาลัยสอบถามว่าได้ไปยังสถานที่ประท้วงหรือไม่โดยให้ส่งรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรเช่นเดียวกัน
ประชาชนอีกคนที่เห็นเหตุการณ์การประท้วงบอกว่า ตัดสินใจลบประวัติการแชตทั้งหมดของตน และสำทับว่า ถูกตำรวจถามว่า ได้ยินข่าวการประท้วงจากที่ใดและมีแรงจูงใจอะไรจึงไปร่วมประท้วง
รอยเตอร์บอกว่า ยังไม่ชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่ระบุตัวผู้ที่ถูกเรียกไปซักถามเกี่ยวกับการร่วมประท้วงได้อย่างไร และมีกี่คนที่ถูกตำรวจหมายหัว
ด้านสำนักงานความมั่นคงสาธารณะในปักกิ่งไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ ขณะที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าวว่า ประชาชนสามารถใช้สิทธิ์และเสรีภาพได้ แต่ต้องอยู่ใต้กรอบกฎหมาย
คลื่นการประท้วงช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งกลายเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับพรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีชนวนเหตุจากเหตุไฟไหม้อาคารสูงในเมืองอุรุมชี เมืองเอกของมณฑลซินเจียง ที่มีผู้เสียชีวิต 10 คนเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว โดยชาวเน็ตจีนบอกกันว่า มาตรการล็อกดาวน์ที่เป็นส่วนสำคัญของการต่อสู้ป้องกันการระบาดของโควิด ทำให้หน่วยกู้ภัยเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในอาคารไม่ทันการณ์ ถึงแม้ทางเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
อย่างไรก็ดี ความไม่พอใจในนโยบายป้องกันโควิดอย่างเข้มงวดที่ใช้มา 3 ปีแล้ว ได้ลุกลามทำให้มีการชุมนุมประท้วงตามเมืองใหญ่ๆ รวมทั้งในมหาวิทยาลัยจำนวนมากทั่วประเทศจีน
เหตุการณ์นี้ยังเกิดขึ้นในขณะที่จำนวนผู้ติดโควิดในจีนกำลังพุ่งทำสถิติรายวัน และหลายเมืองกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์กันอีกครั้ง
เฉิง โหยว-ฉวน เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านสาธารณสุขของจีน กล่าวในการแถลงข่าววันอังคาร (29) ว่า การร้องเรียนของประชาชนในเรื่องมาตรการควบคุมโควิดนั้น หลักๆ เลยไม่ใช่มุ่งคัดค้านการป้องกันและป้องกันโรคระบาดนี้ แต่ไม่พอใจการดำเนินนโยบายอย่างแข็งกร้าวไม่ยืดหยุ่น และทางการจะเร่งแก้ไขความกังวลเหล่านี้
ในคืนวันอังคาร พวกเจ้าหน้าที่ในมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นฐานทางเศรษฐกิจสำคัญมากทางภาคใต้ของจีน แถลงว่า จะอนุญาตให้ผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด สามารถกักตัวเองที่บ้านได้ ไม่ต้องถูกนำตัวไปอยู่ในศูนย์กักกันโรค
เวลาเดียวกัน คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติในกรุงปักกิ่งก็แถลงว่า จะเร่งรัดผลักดันการฉีดวัคซีนให้ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป โดยที่จะจัดตั้งกลุ่มทำงานพิเศษขึ้นมา เพื่อเร่งเพิ่มอัตราการฉีดวัคซีนทั้งในกลุ่มคนอายุ 80 ปีขึ้นไป และกลุ่มคนอายุระหว่าง 60-79 ปี
จีนนั้นมีอัตราผู้ฉีดวัคซีนครบอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากรสูงวัย เป็นต้นว่า ตามตัวเลขซึ่งเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้เปิดเผยในการแถลงข่าวคราวนี้ ผู้ที่อายุ 80 ปีขึ้นมามีอัตราฉีดวัคซีนครบชุดแล้วเพียง 65.8% เรื่องนี้ถูกมองมานานว่าทำให้ปักกิ่งต้องเน้นย้ำมาตรการป้องกันโรคระบาดใหญ่ไม่ให้แพร่กระจาย และต้องเข้มเรื่องมาตรการล็อกดาวน์
หลายๆ ฝ่ายแสดงความหวาดเกรงว่า การยกเลิกนโยบายเช่นนี้ ขณะที่ประชากรหลายๆ ส่วนยังคงไม่ได้รับวัคซีนแบบครบถ้วน จะทำให้โรคมีการแพร่ระบาดออกไปมาก จนระบบสาธารณสุขของจีนรับมือไม่ไหว และทำให้มีผู้เสียชีวิตอาจจะสูงเกินกว่า 1 ล้านคน
ทางด้าน บล็อกเกอร์นักชาตินิยมชื่อดัง อย่างเช่น เหริน อี๋ ซึ่งเป็นหลานปู่ ของ เหริน จ้งอี๋ ผู้นำสายปฏิรูปคนหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ อี้ว์ หลี่ ผู้ใช้นามปากกาว่า ซือหม่า หนาน เขียนในบล็อกว่า การประท้วงเหล่านี้ภูกบ่มเพาะขึ้นมาโดย “กลุ่มพลังต่างชาติ”
“พวกเขามีวัตถุประสงค์อะไร? ในด้านหนึ่ง มันคือการทำให้ความขัดแย้งต่างๆ ภายในยิ่งเพิ่มความดุเดอด ในอีกด้านหนึ่ง มันคือการทดลองดูว่า พวกเขาสามารถที่จะทำให้ประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับนโยบายป้องกันโรคระบาดและด้านสุขภาพของเรา กลายเป็นประเด็นการเมืองได้หรือไม่” เหริน เขียนเช่นนี้ในบล็อกเของเขา
(ที่มา: รอยเตอร์, เอเอฟพี)