เจ้าหญิงมาร์ธา ลุยเซอ รัชทายาทลำดับที่ 4 แห่งราชบัลลังก์นอร์เวย์ ทรงบอกว่าพระองค์มีญาณทิพย์ ทราบความคิดคนอื่น และสามารถสนทนากับเทวดา ตลอดจนสิงสาราสัตว์ ในเวลาเดียวกันเจ้าหญิงทรงดำเนินพระไลฟ์สไตล์เป็นปกติเฉกเช่นชาวโลกทั้งผอง อีกทั้งยังทรงบริหารธุรกิจญาณทิพย์ส่วนพระองค์ร่วมกับอดีตพระสวามี (ช่วงที่ยังมิได้หย่าร้างกัน) เจริญรุ่งเรืองได้ในท่ามกลางกระแสกดดันร้อนแรงจากสาธารณชนชาวคริสต์ ซึ่งรับไม่ได้กับเรื่องพลังเหนือธรรมชาติ
ล่าสุด ในรอบ 3-4 ปีมานี้ เจ้าหญิงมาร์ธาวัย 51 พรรษา แม่ม่ายหย่าร้างผู้มีพระธิดา 3 หญิง ทรงปลูกต้นรักหวานแหววกับหนุ่มอเมริกัน-แอฟริกัน ดูเร็ก แวร์เรตต์ ผู้ซึ่งประกาศตนเป็นหมอผีชาแมน ให้บริการบำบัดรักษาร่างกายและจิตใจของนานาเศรษฐีและคนดังด้วยพลังเหนือธรรมชาติ จนเป็นที่เลื่องลือนานปีอยู่ในถิ่นฮอลลีวูด สหรัฐอเมริกา โดยมีเซเลบชื่อก้องโลกมากมาย (เช่น กวินเน็ธ พัลโทรว์, อันโตนิโอ แบนเดอรัส, เจมส์ แวน เดอร์บีก) แห่กันเข้าไปใช้บริการต่อคิวยาวเหยียด ณ สนนราคาค่ารักษาอันสูงลิ่วถึง 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อครั้ง (60 นาที ตามรายงานของอีฟนิงสแตนดาร์ดเมื่อกลางปีที่ผ่านมา โดยอัตราในปี 2020 ซึ่งแวนิตีแฟร์รายงานไว้อยู่ที่ 1,000 ดอลลาร์ต่อครั้ง)
ทุกวันนี้ คู่รักไม่ธรรมดาทั้งสองท่านยังรักษาความจี๊ดจ๊าดหวานหยดแบบไม่มีแผ่วเลย แม้จะต้องเผชิญแรงกดดันหนักหนาจากปฏิกิริยาติดลบอื้ออึงของสาธารณชนนอร์วีเจียน ซึ่งไม่ยอมรับเรื่องพลังเหนือธรรมชาติของเจ้าหญิง เพราะมองเป็นเวทมนตร์ และขัดหลักการของคริสต์ศาสนา ยิ่งกว่านั้น คือรับไม่ได้เลยกับ “หมอผีพระคู่หมั้น” ซึ่งขายคอร์สบำบัดโรค ขายเหรียญพลังวิเศษรักษาโควิด-19 ตลอดจนขายไอเดียต่างๆ ที่ถูกสับเละว่าเหลวไหลไม่เป็นวิทยาศาสตร์
พร้อมกันนั้น มีการวิพากษ์อย่างดุเดือดว่าปรินเซสมาร์ธา ลุยเซอ และหมอผีผิวหมึกอดีตเกย์/ไบเซ็กชวล ซึ่งจะขึ้นเป็นเขยหลวงของสมเด็จพระเจ้าฮารัลด์ที่ 5 ในภายภาคหน้า ได้ใช้สถานภาพเจ้าหญิงไปส่งเสริมการขาย และจึงกดดันให้พระองค์ลาออกจากพระยศเจ้าหญิง
กระแสต่อต้านเจ้าหญิงมาร์ธา ลุยเซอ กันอย่างล้นหลามไม่ใช่เรื่องใหม่ ทรงโดนกดดันเป็นระยะๆ ตลอดหลายทศวรรษของพระชนม์ชีพ โดยกระแสต่อต้านได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ผ่านมา เจ้าหญิงทรงยอมถอยมา 3 รอบแล้ว ได้แก่ ยอมสละพระอิสริยยศเจ้าฟ้าหญิง - Her Royal Highness และเบี้ยหวัดปีละ 1 ล้านดอลลาร์ ในปี 2002 เพื่อยืนหยัดที่จะดำเนินธุรกิจการค้าส่วนพระองค์ และรอบที่สอง ทรงยอมที่จะไม่ใช้พระยศ “เจ้าหญิง” ในกิจกรรมทางธุรกิจส่วนพระองค์ หลังสาธารณชนกดดันมาราธอนกัดไม่ปล่อยเมื่อไตรมาส 3 ปี 2019
การถอยรอบที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อ 8 พ.ย.2022 โดยปรินเซสวัย 51 พรรษา ทรงยอมยุติการเป็นผู้แทนพระราชสำนักในการปฏิบัติพระราชกิจทุกรูปแบบของพระราชสำนัก ตลอดจนยุติการเป็นองค์อุปถัมภ์ขององค์การทั้งหลาย เช่น สถาบันลิวคีเมียแห่งชาติซึ่งอึดอัดมาแสนนานกับการที่หมอผีดูเร็กพระคู่หมั้นเผยแพร่แนวคิดการใช้พลังเหนือธรรมชาติบำบัดรักษาลิวคีเมีย
กระแสต่อต้านจากสาธารณชนในรอบที่ 3 ซึ่งกัดไม่ปล่อยเนิ่นนานเกือบครึ่งปี กว่าที่เจ้าหญิงจะทรงยอมถอยนั้น เปรี้ยงปร้างขึ้นหลังจากที่เจ้าหญิงทรงประกาศข่าวบนอินสตาแกรมว่า ทรงหมั้นกับชาแมนดูเร็ก หมอผีคนดังจากฮอลลีวูด เมื่อ 7 มิ.ย.2022 ทั้งนี้ ในหลายเดือนที่การต่อต้านยืดเยื้อและทวีความดุเดือดนั้น โพลที่จัดทำในเดือน ก.ย.พบว่า ชาวนอร์วีเจียน 17% มีทัศนคติที่แย่ลงต่อสถาบันกษัตริย์ โดยส่วนใหญ่ระบุสาเหตุว่ามาจากเรื่องความสัมพันธ์ที่เจ้าหญิงมาร์ธา ทรงมีกับหมอผีดูเร็ก เจ้าของฉายา “ชาแมนดูเร็ก” หมอผีอเมริกัน-แอฟริกันผู้ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยคำรุนแรง เช่น คำที่เว็บไซต์ NewsinEnglish ของนอร์เวย์รายงานว่า นักต้มตุ๋นหลอกลวง
สัมพันธ์รักหวานแหววที่ยกระดับ “ชาแมนดูเร็ก” ขึ้นสู่สถานภาพ ‘ว่าที่พระราชบุตรเขย’ เป็นดรามาที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2018 ประมาณหนึ่งปีกว่านับจากที่กระบวนการหย่าร้างระหว่างเจ้าหญิงมาร์ธา กับอดีตพระสวามีสามัญชนผู้เป็นนักเขียนคนดังของนอร์เวย์ ได้เสร็จสมบูรณ์ในปี 2017 ต้นรักของเจ้าหญิงญาณทิพย์กับผู้วิเศษดูเร็ก มีพัฒนาการสำคัญในวันคริสต์มาส 2019 โดยชาแมนแอนด์ปรินเซส ให้สัมภาษณ์แก่ แวนิตีแฟร์ ว่า ในวันนั้นเสด็จพ่อและเสด็จแม่ทรงเชิญพระคู่รักเข้าร่วมพิธีมิสซาฉลองคริสตสมภพพร้อมกันกับพระราชวงศ์ หลังจากที่ได้พระราชทานไฟเขียวแก่เจ้าหญิงมาร์ธาผู้เป็นแม่ม่ายหย่าร้างมาหลายปี ให้คบค้าศึกษาดูใจแฟนหนุ่มได้
กระนั้นก็ตาม เส้นทางรักเกิดจะต้องสะดุดอย่างแรง เพราะมีโศกนาฏกรรมใหญ่หลวงอุบัติขึ้นในวันสำคัญดังกล่าว นั่นคือ อดีตพระสวามีของเจ้าหญิง นามว่า อาริ เบห์น (Ari Behn) ปลิดชีพตนเอง
เนื่องจาก อาริ เบห์น เป็นนักเขียนยอดป็อปปูลาร์ที่ผู้คนในนอร์เวย์ชื่นชม และสงสาร ข่าวการทำอัตวินิบาตกรรมดังกล่าวจึงเป็นความสะเทือนใจอย่างยิ่งในหมู่ประชาชน ในการนี้ เจ้าหญิงมาร์ธาประทานสัมภาษณ์แก่นิตยสารแวนิตีแฟร์ว่า ทุกนิ้วพากันชี้มาที่พระองค์และพระคู่รักใหม่ว่าเป็นต้นเหตุกดดันให้อดีตพระสวามีตัดสินใจฆ่าตัวตาย
เจ้าหญิงทรงบอกว่า ไม่น่าจะนำพระองค์เข้าไปโยงกับเรื่องนี้เลย ในเมื่อก็ได้หย่าร้างกันไปตั้ง 3 ปีแล้ว และคุณอาริ เบห์น ได้มีคนรักใหม่แล้ว นอกจากนั้น การทำอัตวินิบาตกรรมนี้อาจเป็นผลจากปัญหาสุขภาพจิต ที่เขาที่เขาต่อสู้รักษาตัวอยู่อย่างเนิ่นนาน
ปมเรื่องนี้กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยใหญ่ยักษ์ที่โหมกระพือความรู้สึกต่อต้านเจ้าหญิงมาร์ธา เพราะลำพังที่ทรงบอกว่าพระองค์สามารถสื่อสารกับสิงหาราสัตว์ เทวดาและผู้ตาย ประชาชนมากมายก็รับไม่ได้แล้ว ครั้นเจ้าหญิงทรงหมั้นหมายกับหมอผีจากอเมริกา ซึ่งเป็นการเปิดทางให้หมอผีได้เข้าเป็นสมาชิกแห่งพระราชวงศ์ พสกนิกรในนอร์เวย์พากันรู้สึกว่าเจ้าหญิงทรงเกินเลยไปสุดโต่ง
ดังนั้น พอมามีกรณีอดีตพระสวามีตัดสินใจฆ่าตัวตายจึงยิ่งทำให้ความรู้สึกต่อต้านถูกโหมกระพือ โดยบางรายถึงกับส่งจดหมายขู่ฆ่าไปยังชาแมน และมีบางกลุ่มเร่งให้พระศาสนจักรลงดาบ บัพพาชนียกรรมเสียที เพื่อขับเจ้าหญิงมาร์ธา พ้นจากความเป็นชาวคริสต์ ขณะที่เสียงเรียกร้องให้ทรงลาออกจากตำแหน่งเจ้าหญิงก็อื้ออึง
ชีวิตเปี่ยมดรามา 51 พรรษา เริ่มจากเด็กแนวผู้อยากจะโบกมือลาราชบัลลังก์
ปรินเซสมาร์ธา ลุยเซอ ทรงประสูติในพระอิสริยยศ Her Royal Highness - เจ้าฟ้าหญิง เนื่องจากทรงเป็นพระราชธิดา (พระองค์โต) ของสมเด็จพระเจ้าฮารัลด์ที่ 5 พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรนอร์เวย์ และสมเด็จพระราชินีซอนญา อดีตสตรีสามัญชนจากครอบคร้วฐานะดี เจ้าของปริญญาตรีสาขาประวัติศาสตร์ศิลป์ มหาวิทยาลัยออสโล ทั้งนี้ นับจากการแก้กฎหมายในปี 1990 เจ้าหญิงมาร์ธาทรงได้อยู่ในคิวลำดับรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์นอร์เวย์ โดยที่พระอนุชา พระนามว่าเจ้าฟ้าชายโฮกุน มกุฎราชกุมาร ทรงเป็นรัชทายาทลำดับที่ 1
ตั้งแต่ที่ยังเป็นพระองค์หญิงน้อย เจ้าฟ้าหญิงมาร์ธาทรงไม่แฮปปี้กับข้อกำหนดต่างๆ ที่ราชนิกุลต้องปฏิบัติตาม ทรงชมชอบการใช้ชีวิตกลางแจ้ง และทรงไม่สนุกกับการแต่งพระองค์ในพระภูษาหรูหรา ทั้งนี้ ทรงเคยประทานสัมภาษณ์แก่แวนิตีแฟร์ว่า อยากให้พระราชบิดาและพระราชมารดาทรงเป็นหมอฟัน แทนที่จะเป็นกษัตริย์และพระราชินี
พร้อมนี้ ทรงเล่าว่าในวัยประมาณ 6-7 พรรษา เคยวางเม็ดถั่วไว้ใต้ที่นอนแบบที่ได้อ่านมาจากเทพนิยายแอนเดอร์สัน ซึ่งบอกว่าหากผู้ใดเป็นเจ้าหญิงแท้จริง หลังของผู้นั้นจะต้องชอกช้ำจ้ำเขียว ในเช้าวันรุ่งขึ้น พระองค์หญิงน้อยทรงรีบกระเด้งตื่น ไปเช็กสภาพการณ์ของแผ่นหลัง ด้วยทรงหวังจะได้เห็นรอยจ้ำช้ำแดงที่จะเป็นหลักฐานชี้บ่งถึงระดับของเลือดสีน้ำเงินแห่งขัตติยะราชสกุล ผลปรากฏว่าทรงเซ็งพระทัยอย่างยิ่ง แผ่นหลังของพระองค์เป็นปกติทุกสิ่งอย่าง
เจ้าฟ้าหญิงทรงกล่าวในบทสัมภาษณ์ว่าทรงตำหนิพระองค์เองไปใหญ่โต... กะไว้แล้วเชียว! กะไว้แล้ว... ว่าพระองค์ทรงดีไม่พอแก่การเป็นพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ กะไว้แล้วว่าพระองค์ไม่คู่ควรกับความเป็นปรินเซส เพราะพระกายไม่มีสิ่งอันเป็นขัตติยะ ทุกอย่างที่ทรงรู้สึกเกี่ยวกับพระองค์เองในตลอด 6-7 ปี คือเรื่องจริง ส่วนสิ่งที่ทรงถูกบอกเกี่ยวกับพระองค์นั้นล้วนแต่ไม่ถูกต้อง
ด้าน เอมิลี ฟอกซ์ นักข่าวค่ายแวนิตีแฟร์ซึ่งได้พบปะสัมภาษณ์ปริสเซสมาร์ธา และหมอผีดูเร็ก แวร์เรตต์ หลายกรรมหลายวาระในปี 2018-2019 เล่าไว้ในสกู๊ปว่า พระองค์ทรงรักความเป็นราชนิกุล ทรงรักพระราชตระกูล ทรงรักพสกนิกร แต่การเป็นปรินเซสนั้นมันหนักหนาเหลือเกิน ชีวิตวัยดรุณของพระองค์มีสิ่งต่างๆ เต็มที่ แต่ก็มีความว่างเปล่ามากมายโดยทรงเจริญพระชันษาขึ้นมากับพระพี่เลี้ยงและข้าราชบริพารในคอกม้าอันเป็นสถานที่บ่มเพาะให้ทรงเป็นนักขี่ม้าแข่ง
ยิ่งกว่านั้นพระองค์มีเรื่องของพลังเหนือธรรมชาติ จึงทรงเว้นระยะห่างจากสังคม เพราะทรงถูกมองว่าเป็นมนุษย์ประหลาด และทรงถูกช่างภาพและสื่อมวลชนจับจ้องหาเรื่องไปนำเสนอให้ประชาชนรับทราบ ขณะเดียวกัน ทรงหวังว่าจะได้พบชายที่พระองค์รัก ผู้ซึ่งมองเห็นตัวตนแท้จริงของพระองค์ แต่ทว่า บุรุษดังกล่าวไม่มีอยู่ในโลกของพระองค์ ดังนั้น เมื่อทรงเจริญพระชันษาได้ 15 พรรษา เจ้าฟ้าหญิงมาร์ธา ลุยเซอ ทรงปิดตัวแปลกแยกจากสังคม เอมิลี ฟอกซ์ เล่าไว้อย่างนั้น
พบรักกับนักเขียนคนดัง หนุ่มสามัญชนรูปงาม ผู้ฉลาดและขบถพอๆ กับพระองค์
เจ้าฟ้าหญิงมาร์ธา ทรงสำเร็จการศึกษาด้านกายภาพบำบัด แต่ทรงเบนเข็มไปเอาดีทางศิลปะในหลายสาขา รวมทั้งการเขียนหนังสือ ในช่วงหนึ่งของชีวิต ทรงดำเนินโครงการเดินทางไปทั่วประเทศ ไปอ่านเทพนิยายคลาสสิกของนอร์เวย์ให้เหล่าพสกนิกรได้ซาบซึ้งกับมรดกวัฒนธรรมนอร์วีเจียน (ทรงไม่อ่านงานของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน หรอก เพราะฮันส์เป็นชาวเดนมาร์ก) โดยทรงโปรดปรานที่จะเลือกอ่านเทพนิยายเกี่ยวกับเจ้าหญิงผู้แสนเศร้าและถูกพันธนาการ
ในที่สุด ปรินเซสก็ทรงพบบุรุษในฝัน ผู้ซึ่งสามารถมองทะลุเข้าไปเห็นพลังทางจิตวิญญาณของพระองค์ เขาคนนั้นคือ อาริ เบห์น นักเขียนสามัญชนคนดังทะลุฟ้านอร์เวย์ผู้เป็นชื่นชมของชาวนอร์วีเจียน เจ้าฟ้าหญิงมาร์ธาทรงเปี่ยมสุขนักหนาเมื่อได้จับมือพระคู่รัก และแต่ละคราที่เฝ้ามองเขา ดวงพระเนตรทั้งคู่ก็ส่งประกายความปลาบปลื้มหลงใหล
ที่สำคัญคือ ทรงชื่นชมพลังเหนือธรรมชาติของเขา
ในบทสัมภาษณ์กับแวนิตีแฟร์ หลังจากทรงรักกับชาแมนดูเร็กแล้ว เจ้าหญิงทรงเล่าถึงคำพูดของอาริ เบห์น ว่า เขาแสดงความยินดีกับพระองค์ที่ได้พบผู้ซึ่งมีพลังทางจิตวิญญาณมากกว่าตัวเขา
อาริ เบห์น (เป็นนามสกุลเดิมของคุณยาย เพราะอาริเลิกใช้นามสกุลของคุณพ่อตั้งแต่ปี 1996) หนุ่มนักเขียนซึ่งได้ก้าวเข้าเป็นเขยหลวงแห่งราชวงศ์กลุคเบิร์ก เป็นสามัญชนที่ถือกำเนิดในเดนมาร์ก แต่เติบโตในนอร์เวย์ และมีชีวิตอันฉูดฉาดไปด้วยสีสันและความซับซ้อน
เช่น กรณีที่คุณปู่ซึ่งเป็นนักกฎหมาย ได้ปริปากเฉลยในภายหลังว่าคุณพ่อของอาริ เป็นลูกติดมาจากคนอื่นแต่ท่านเลี้ยงดูขึ้นมาด้วยความรัก หรือกรณีที่คุณพ่อคุณแม่เป็นฮิปปี้โบราณ ใช้ชีวิตด้วยกันนานหลายปี ในวันหนึ่งคุณแม่ขอหย่าแล้วไปแต่งงานใหม่กับเพื่อนชายที่เพิ่งหย่ากับภรรยา ด้านคุณพ่อก็โอเคและแต่งงานใหม่ภรรยาของเพื่อนคนนั้น แล้วภายหลังต่อไป ก็กลับมาแต่งงานอยู่กันด้วยกันอีกรอบหนึ่ง นอกจากนั้น ทั้งสองเคยเป็นอาจารย์ในโรงเรียนที่เชื่อในเรื่องพลังพิเศษของมนุษย์ โดยโรงเรียนนี้ซึ่งมีเครือข่ายอยู่ในหลายประเทศจะ “คัดเลือก” อาจารย์เป็นอย่างดีโดยให้อำนาจการสอนแก่อาจารย์อย่างเต็มที่
ในปี 1972 ที่อาริ ถือกำเนิดนั้นเขายังเป็นบุตรนอกสมรส ในปีต่อมา จึงมีการสมรสอย่างเรียบร้อย และย้ายครอบครัวไปปักหลักในประเทศอังกฤษ และอีก 5 ปีให้หลังก็อพยพมาตั้งรกรากในนอร์เวย์ โดยสนับสนุนให้เขาได้รับการศึกษาที่ดี เขาจบปริญญาตรีสาขาประวัติศาสตร์และศาสนาจากมหาวิทยาลัยออสโล
หลังจากนั้น อาริออกตระเวนไปตามดินแดนต่างๆ ทั่วโลก ทั้งในแอฟริกา เอเชีย และสหรัฐอเมริกา แต่เขาเล่าถึงชีวิตในช่วงทั้งหมดนี้ว่า เต็มไปด้วยความอ้างว้างโดดเดี่ยว ซึ่งเขานำมาใช้เป็นวัตถุดิบประพันธ์ชุดเรื่องสั้นชื่อว่า “Sad as Hell” (โศกเศร้าดั่งนรก) เรื่องสั้นชุดนี้วางตลาดในปี 1999 และประสบความสำเร็จอย่างครึกโครมด้วยยอดขาย 100,000 เล่ม พร้อมกับพาให้เขาแจ้งเกิดในโลกวรรณกรรม
แม้ผลงานประพันธ์ของอาริ เบห์น เป็นที่ชื่นชอบของนักอ่าน มีการแปลเป็นภาษาต่างๆ ในยุโรป 6 ภาษา (ฝรั่งเศส เยอรมัน สวีดิช เดนนิช ไอสแลนดิก และฮังกาเรียน) แต่เขาถูกบรรดานักวิจารณ์เล่นงานหนักหนา ยิ่งเมื่อมาสร้างผลงานศิลปะในด้านจิตรกรรม บทละคร การสร้างภาพยนตร์ และการออกแบบเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร เสียงวิจารณ์ก็ยิ่งดุดันระดับที่เรียกเขาเป็นศิลปินจอมปลอม จนเป็นที่โมโหโกรธาระดับที่เขาประกาศท้าดวลปืนกับนักวิจารณ์ปากกล้ารายหนึ่ง กะจะเอาเลือดมาล้างแค้นกันเลยทีเดียว
ปีที่ทรงชื่นมื่นกับ อาริ พสกนิกรเพิ่งโอเคกับที่พระอนุชาเสกสมรสกับสตรีแสนแซ่บ เส้นทางวิวาห์จึงฉลุย
อาริ เบห์น ผู้รูปงาม ออร่าฉลาดคมคาย พร้อมต่างหูข้างซ้ายสไตล์ขบถสังคม ได้เข้าสู่สายพระเนตรของปรินเซสมาร์ธา ลุยเซอ ในปี 2001 ขณะที่เขาไปเยี่ยมคุณแม่ที่บ้านในกรุงออสโล และไปพบดอกฟ้าราชนิกุลในห้องรับแขก ทั้งนี้ คุณแม่ของอาริเป็นติวเตอร์ด้านกายภาพบำบัดของพระองค์ แต่ถูกขอให้ปกปิดเรื่องนี้ไว้ให้สนิท อาริเล่าไว้กับแวนิตีแฟร์ที่กรุงลอนดอนเมื่อปี 2013
เขารู้สึกได้ทันทีว่าปรินเซสคือคนรักในอุดมคติที่ค้นหามาแสนนาน เขาหลงรักความร่าเริงชาญฉลาดของพระองค์ ยิ่งกว่านั้น พลังเหนือธรรมชาติของพระองค์ตรึงใจเขาให้ลุ่มหลง อยากค้นคว้าความทำความรู้จักให้มากขึ้น ซึ่งหากมิได้ทรงเป็นราชนิกุล เขาจะขอพระองค์แต่งงานภายใน 1-2 สัปดาห์ที่ได้รู้จักกัน
ด้านนิตยสารพีเพิลเล่าว่า ตอนที่หนุ่มนักเขียนขอแต่งงานและเจ้าฟ้าหญิงทรงตอบรับเมื่อปลายปี 2001 นั้น นับเป็นห้วงเวลาที่เหมาะเจาะ เพราะในระยะ 3-4 ไตรมาสของห้วงดังกล่าว เจ้าฟ้าชายโฮกุน ผู้เป็นพระอนุชาได้กรุยทางไว้ให้โดยมิได้ทรงตั้งพระทัย
กล่าวคือ เจ้าฟ้าชายโฮกุน มกุฎราชกุมารแห่งนอร์เวย์ ทรงพบเนื้อคู่ของพระองค์ แต่นางเป็นสตรีสามัญชนที่มีภูมิหลังดุเดือดโลดโผน ทั้งนี้ ทั้งสองศึกษาดูใจกันอย่างจริงจังในปี 1999 และใช้ชีวิตด้วยกันตลอดปี 2000
หลังการประกาศข่าวเมื่อต้นเดือน ธ.ค.2000 ว่ามกุฎราชกุมารทรงหมั้นหมายกับพระคู่รักแล้ว เสียงยี้สนั่นจากพสกนิกรนอร์วีเจียนก็ดังอื้ออึง โดยมีสาเหตุสำคัญจากการที่พระคู่หมั้น นามว่า น ส.เม็ตเตอ มาริต เช็สเซิม เฮออิบิ สามัญชนวัย 27 ปี มีภูมิหลังที่แซ่บเหลือเกิน แม้เธอจะมาจากครอบครัวชนชั้นกลาง โดยมารดาของเธอเป็นนักข่าวและบิดาทำงานธนาคาร
แต่เธอมีประวัติการติดยา เคยเข้ารับการบำบัดยาเสพติด เธอยุติการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ไปใช้ชีวิตกับแฟนหนุ่มซึ่งเสพโคเคน ในเวลาต่อมาเธอให้กำเนิดแก่บุตรชายนอกสมรสในเดือน ม.ค.1997 และเลี้ยงลูกด้วยอาชีพพนักงานเสิร์ฟ แต่จุดที่ทำให้สาธารณชนคัดค้านกันหนักหนาคือ แฟนหนุ่มผู้เป็นบิดาของลูกชายเธอนั้น อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกคดีทำร้ายผู้อื่นโดยขาดสติเพราะฤทธิ์ยาเสพติด และคดีการมีโคเคนอยู่ในครอบครอง
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความรักของมกุฎราชกุมารกระเตื้องดีขึ้นมากในช่วงกลางเดือน ส.ค.2001 เมื่อมีการเคลียร์กันอย่างชัดเจนว่าบุตรชายลูกติดของพระคู่หมั้นจะไม่ได้รับพระอิสริยยศ อีกทั้งไม่มีสิทธิใดๆ ในความเป็นรัชทายาท แต่ส่วนที่สำคัญเหนืออื่นใด คือ ได้มีการจัดแถลงข่าวครั้งสำคัญ
โดย ‘ว่าที่’ เจ้าสาวได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ขออภัยประชาชนสำหรับอดีตของเธอ ตลอดจนกล่าวต่อต้านการใช้ยาเสพติด พร้อมกับเปิดใจว่าประสบการณ์แย่ๆ จากยาเสพติดทำให้เธอเข็ดขยาด และเปลี่ยนแปลงเป็นคนที่เข้มแข็งมากขึ้น ปฏิกิริยาจากสาธารณชนจึงออกมาในทางบวก มีการแสดงเห็นใจ เข้าใจ และชื่นชมใน ‘ว่าที่’ มกุฎราชกุมารีกันทั่วแผ่นดิน บีบีซีรายงานไว้เมื่อ 25 ส.ค.2001
ไม่ใหม่เลยที่มกุฎราชกุมารแห่งนอร์เวย์จะอภิเษกสมรสกับสตรีสามัญชน ควีนซอนญาก็มาจากสามัญชน
อันที่จริงแล้ว การที่มกุฎราชกุมารตัดสินใจแต่งงานกับสตรีสามัญชน ไม่ใช่เรื่องใหม่ในราชอาณาจักรนอร์เวย์ เพราะเมื่อช่วงที่สมเด็จพระเจ้าฮารัลด์ที่ 5 ยังมิได้ขึ้นครองราชย์ พระองค์ก็ทรงอยู่กินกับพระคู่รักผู้ทรงพระสิริโฉม (ต่อมาวาสนานำส่งให้เป็นสมเด็จพระราชินีซอนญา โดยมีความงามไม่ด้อยกว่าเจ้าหญิงเกรซ เคลลี แห่งโมนาโก) นานหลายปี
ทั้งนี้ หากไม่นับความเป็นสามัญชน ภูมิหลังของพระคู่รักนั้นเลิศทีเดียว โดยเป็นบุตรีของครอบครัวฐานะดีในตระกูลพ่อค้าผ้า และมีการศึกษาครบเครื่องด้วยประกาศนียบัตรด้านออกแบบแฟชั่นและการตัดเย็บจากสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสจากมหาวิทยาลัยออสโล แต่สื่อบางรายประชดไว้ว่าพระคู่รักทรงเลี้ยงชีพด้วยการเป็นช่างตัดเสื้อเพื่อให้เป็นระนาบเดียวกับว่าที่พระสุนิสาซึ่งเป็นสาวเสิร์ฟ
ด้านมกุฎราชกุมารฮารัลด์ตรัสยืนยันต่อพระราชบิดา (สมเด็จพระเจ้าโอลาฟที่ 5) ว่าจะไม่ยอมเข้าสู่พระราชพิธีอภิเษกสมรสกับหญิงใดนอกจากพระคู่รักซอนญาเท่านั้น และในที่สุด พระราชบิดาก็ทรงจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสให้
ในบรรยากาศดั่งฟ้าหลังฝน มกุฎราชกุมารและพระคู่หมั้นเข้าสู่พระราชพิธีอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 24 สิงหคม 2001 และพระราชพิธีนี้จึงแผ้วถางทางให้แก่ความรักชุบน้ำเชื่อมระหว่างปรินเซสมาร์ธา กับหนุ่มสามัญชนนักเขียนคนดังของประเทศ
ปรินเซสทรงถอยหนแรก ก่อนเสกสมรสหนุ่มนักเขียน ทรงให้ถอดยศ HRH แล้วสนุกกับธุรกิจส่วนพระองค์
สัมพันธ์รักระหว่างปรินเซสมาร์ธา ลุยเซอ กับ อาริ เบห์น ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ทว่า กว่าจะได้หมั้นหมายกันก็ล่วงเลยหลายไตรมาสจดจนถึงเดือน ธ.ค.2001 โดยในระหว่างนั้น ปรินเซสทรงเตรียมจัดตั้งธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ส่วนพระองค์แล้ว
โดยในวันที่ 1 ม.ค.2002 เจ้าฟ้าหญิงมาร์ธาทรงเปิดตัวธุรกิจบันเทิงออกทีวีโดยให้มีการออกมาเล่าเทพนิยายพื้นบ้านและร้องเพลงกับนานาคณะนักร้องประสานเสียงชื่อดังของนอร์เวย์ ซึ่งสิ่งนี้ถูกสังคมแห่กันวิจารณ์คัดค้านว่าไม่เหมาะสมเลยที่ทรงนำสถานภาพปรินเซสไปเป็นจุดขายโปรโมตธุรกิจ
ในการนี้ เสด็จพ่อทรงหารือกับพระราชธิดาและทรงมีความเห็นตรงกัน โดยปรินเซสทรงยอมถอย ด้วยการยอมรับที่จะถูกถอนออกจากพระอิสริยยศเจ้าฟ้า Her Royal Highness แต่ยังคงฐานันดรศักดิ์ปรินเซสและสิทธิการสืบทอดพระราชบัลลังก์ไว้ดังเดิม รอยัลตี้กรุ๊ปดอทแฟนด้อมรายงาน
ดังนั้นใน ก.พ.2002 สมเด็จพระเจ้าฮารัลด์ที่ 5 ทรงลงพระนามในพระราชกฤษฎีกาคำสั่งถอดถอนไปตามนั้น
พร้อมนี้ รอยัลตี้กรุ๊ปฯ ได้ให้ข้อมูลในด้านของเจ้าหญิงมาร์ธาด้วยว่า พระองค์ทรงอธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในฐานะปัจจัยบวก เพราะเอื้อให้ขยายธุรกิจส่วนพระองค์ โดยมีเสรีภาพมากขึ้นกว่าเดิม แทนที่จะต้องถูกจำกัดตามเงื่อนไขต่างๆ ของรัฐธรรมนูญ
4 เดือนกว่าต่อมา พระราชพิธีเสกสมรสระหว่างเจ้าหญิงมาร์ธา ลุยเซอ กับ อาริ เบห์น นักประพันธ์คนดัง มีขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และงดงามในวันที่ 24 พ.ค.2002 โดยเจ้าหญิงทรงแย้มพระสรวลเปี่ยมสุขตลอดพระราชพิธีมิสซา สายพระเนตรมองพระคู่หมั้นอย่างหวานชื่นรื้นน้ำตาแห่งปีติสุข ทรงเกาะกุมมือของอาริ เบห์น แทบจะตลอดเวลา ขณะที่พระเอกของพระราชพิธีมีอาการอึดอัดขัดเขินบ่อยครั้งที่กล้องถ่ายทอดสดแพนเข้าไปจดจ่อเนิ่นนาน ด้านคิงฮารัลด์ที่ 5 ผู้เป็นพระราชบิดา ทรงมีสีพระพักตร์แจ่มใสแช่มชื่นพระราชหฤทัย
ความรักหวานแหววส่งผลให้เจ้าหญิงมาร์ธา ลุยเซอ กับ อาริ เบห์น ได้พยานรักองค์แรกภายในเวลาเพียง 11 เดือนกว่านับจากพระราชพิธีเสกสมรส ได้แก่ คุณม็อด อังเงลีกา เบห์น ซึ่งประสูติเมื่อวันที่ 29 เม.ย.2003 หลังนั้นเพียง 2 ปี ก็ได้พยานรักมาอีกหนึ่ง คือ คุณลีอาห์ อิซาดอรา เบห์น เมื่อ 8 เม.ย.2005
หลายปีก่อนจะถึงศักราช 2007 ซึ่งเป็นช่วงที่เจ้าหญิงมาร์ธา ลุยเซอ ทรงเริ่มสร้างธุรกิจญาณทิพย์อย่างเป็นจริงเป็นจัง พระองค์ทรงผลิตงานวรรณกรรม ได้แก่ หนังสือแห่งความรักของพระองค์กับหนุ่มนักเขียน ชื่อเรื่องว่า From Heart to Heart (จากดวงใจสู่ดวงใจ - วางตลาดปี 2002) และเทพนิยายสำหรับเด็ก ชื่อเรื่องว่า Why Kings and Queens Don’t Wear Crowns (ทำไมเหล่ากษัตริย์และราชินีไม่ทรงสวมมงกุฎ - วางตลาดปี 2004) หลังจากนั้นพระองค์และพระสวามีโยกย้ายไปใช้ชีวิตในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาตั้งแต่เดือน ต.ค. โดยทรงตระเวนจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายไปตามรัฐต่างๆ ในสหรัฐฯ ด้วย
เมื่อถึงปี 2007 ซึ่งตอนนั้นคุณเอ็มมา ตัลลูลาห์ เบห์น ธิดาคนสุดท้องยังไม่เกิด และสมาชิกครอบครัวทั้งสี่ได้ปักหลักพำนักในนอร์เวย์แล้ว เจ้าหญิงมาร์ธาทรงสร้างธุรกิจญาณทิพย์อย่างคึกคัก ได้แก่ ศูนย์บำบัดทางเลือก ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า “โรงเรียนเทวดา” หรือ Astarte Education (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Soul Spring) ซึ่งฝึกฝนให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาญาณทิพย์ติดต่อกับเทวดาและจักรวาลแห่งพระเจ้า พร้อมกับฝึกสอนการรักษาโรคด้วยพลังเหนือธรรมชาติ ตลอดจนฝึกสอนวิธีสื่อสารกับเทวดา
ปรากฏว่าธุรกิจญาณทิพย์ของพระองค์ถูกวิพากษ์วิจารณ์และต่อต้านอย่างอื้ออึงจากรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชน ซึ่งเรียกร้องให้พระองค์สละฐานันดรศักดิ์แห่งเจ้าหญิงเพื่อไม่ให้พระราชวงศ์มัวหมอง และสื่อบางค่ายเรียกร้องให้พระศาสนจักรขับพระองค์ออกจากศาสนาคริสต์
ขณะที่หลากหลายผู้หลักผู้ใหญ่ในแวดวงสาธารณสุข วิทยาศาสตร์ การศาสนาและเทววิทยาพากันแสดงความคลางแคลงถึงความเหมาะสมและความน่าเชื่อถือของธุรกิจจิตวิญญาณนี้ นอกจากนั้น นักเขียนแนวประวัติศาสตร์คนดังของนอร์เวย์ออกโรงเรียกร้องให้มีการตรวจเช็กสุขภาพจิตของพระองค์ เว็บไซต์รอยัลตี้กรุ๊ปดอทแฟนดอมรายงาน
ข้อวิพากษ์ที่เหนืออื่นใด คือ ปรินเซสมาร์ธา ลุยเซอ ทรงถูกโจมตีว่าทรงนำฐานันดรศักดิ์แห่งเจ้าหญิงไปใช้ประโยชน์ด้านธุรกิจการค้าส่วนพระองค์
ในท่ามกลางกระแสคัดค้านต่อต้านอันร้อนแรง มีการจัดทำโพลในปี 2012 ผลออกมาว่าแม้จะมีประชาชนในนอร์เวย์ 15% เชื่อว่าเจ้าหญิงมาร์ธาทรงมีพลังจิตวิญญาณจริง แต่ประชาชนอีก 47% มองว่าเจ้าหญิงทรงสร้างผลกระทบเชิงลบต่อพระราชวงศ์ราชวงศ์กลุคเบิร์ก นิวยอร์กไทมส์รายงาน
กระแสเชี่ยวกรากในนอร์เวย์ได้เว้นวรรคพักตัวในช่วงปี 2013-2014 เมื่อ อาริ เบห์น นักเขียนและศิลปิน พาครอบครัวไปใช้ชีวิตในกรุงลอนดอนเพื่อแสวงหาแรงบันดาลใจ และเจ้าหญิงมาร์ธาได้รู้จักสนิทสนมกับสตรีอังกฤษที่มีญาณทิพย์ นามว่า ลิซ่า วิลเลียมส์ ซึ่งประกาศว่าตนสามารถติดต่อกับผู้ตายได้ และเมื่อครอบครัวกลับสู่นอร์เวย์ ทรงเชิญพระสหายมาเป็นวิทยากรสอนเรื่องนี้ในโรงเรียนเทวดา (ซึ่งตอนนั้นเปลี่ยนชื่อเป็น Soulspring) ใน ก.ย.2014
สังคมนอร์วีเจียนจึงมีเหตุให้ต้องปั่นป่วนอีกรอบใหญ่ ส่งผลให้บิชอปแห่งสังฆมลฑลทางนอร์เวย์ตะวันตกออกโรงติเตียนว่ากิจกรรมที่เจ้าหญิงเป็นคนทรงติดต่อกับผู้ตาย เป็นสิ่งที่ต้องคัดค้านอย่างยิ่ง และยังมีบิชอปอีกสังฆมณฑลหนึ่งประกาศว่า การสนทนากับเทวดาไม่เหมือนกับการสื่อสารกับผู้ตาย พร้อมเตือนไม่ให้เจ้าหญิงก้าวข้ามเส้นแบ่งนี้ นิวยอร์กไทมส์รายงาน
ปมขัดแย้งนี้ยุติได้ โดยเว็บไซต์ของ Soulspring ออกคำแถลงตัดขาดจากพระสหาย มีการระบุชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการติดต่อกับผู้ตาย และประกาศว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ภารกิจของ Soulspring รอยัลตี้กรุ๊ปฯ รายงานไว้อย่างละเอียด
ในท่ามกลางแรงกดดันทั้งปวงตั้งแต่ปี 2001-2018 ธุรกิจของเจ้าหญิงดำเนินไปเรื่อยๆ และพระองค์ผลิตงานเขียนอีกหลายเรื่อง เช่น หนังสือรวมเทพนิยายพื้นบ้าน 67 เรื่องจาก 50 ประเทศ ซึ่งออกมาในปี 2007 ต่อมาในปี 2009 ทรงออกหนังสืออีก 2 เรื่อง ได้แก่ พบกับเทวดาผู้พิทักษ์ของคุณ กับ ความลับเกี่ยวกับเทวดา: ธรรมชาติและภาษาของเทวดา และวิธีเปิดตัวคุณไปสู่เทวดา
อย่างไรก็ตาม ในปี 2018 เจ้าหญิงมาร์ธา ลุยเซอ ทรงต้องปิดกิจการศูนย์บำบัดทางเลือก โรงเรียนเทวดา หลังจากที่กระบวนการหย่าร้าง อาริ เบห์น เสร็จสิ้นในปี 2017 ทั้งนี้ เดลิเมลออนไลน์แตะถึงเรื่องนี้ในสกู๊ปเดือน พ.ค. 2019 ว่ากิจการนี้ถูกปิดเพราะไม่สามารถทำเงินอย่างแต่เดิม
ความรักมีอายุ 16-17 ปี อาริ ทำงานหนัก ดื่มหนัก หมกมุ่นในความทุกข์ ด้านเจ้าหญิงตรัสว่าเราห่างเหินกัน
รักไม่ใช่ดวงดาวเมื่อพราวแสง
รักที่เจ้าหญิงมาร์ธา ลุยเซอ มีต่อ อาริ เบห์น ก็ไม่ได้อายุยืนยาวหลายร้อยล้านปีเฉกเช่นดาวฤกษ์ดวงใด
หลังพระราชพิธีเสกสมรสเมื่อ 2002 ผ่านไปหนึ่งทศวรรษครึ่งโดยมีธิดาด้วยกันสามหญิง ก็มีการประกาศในเดือน ส.ค.2016 ว่าทั้งสองได้เข้าสู่กระบวนการหย่าร้าง โดยเจ้าหญิงทรงบอกว่าพระองค์และพระสวามีห่างเหินและแปลกแยกจากกัน เดลิเมลออนไลน์รายงาน ทั้งนี้ การหย่าร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 2017
การมีญาณทิพย์ของเจ้าหญิงมาร์ธามิอาจเยียวยาปัญหาในชีวิตสมรสของพระองค์เอง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ในเมื่อ อาริ เบห์น เป็นคนบ้างาน ดื่มหนัก หมกมุ่นกับการผลิตงานศิลปะและงานวรรณกรรม หนำซ้ำยังต้องถูกบรรดานักวิจารณ์เชือดเฉือนดวงใจด้วยถ้อยคำร้ายกาจ เช่น คำโจมตีว่าเขาเป็นศิลปินจอมปลอม
อาริ เบห์น กล่าวออกสื่อแบบแพลมๆ ถึงปัญหาชีวิตสมรสตั้งแต่ปี 2009 ในระหว่างการให้สัมภาษณ์เปิดใจแก่นิตยสารแมสซิฟ โดยเล่าถึงการต่อสู้กับปัญหาทางจิตทั้งความรู้สึกหดหู่ ท้อแท้ และโดดเดี่ยว ตลอดจนการต่อสู้กับการดื่มเหล้าหนักหน่วง
“ผมทำงานต่อเนื่องจนถึงเที่ยง แล้วบางวันผมเริ่มดื่มเหล้าแก้วแรกตั้งแต่บ่ายครึ่ง ต่อมา เรื่องแบบนี้เกิดบ่อยขึ้น และน่าเสียใจมากครับมันกลายเป็นความเคยชินไม่ดีที่ผมสร้างด้วยตนเอง” นักเขียนคนดังเล่าแก่นักข่าวของแมสซิฟ
เขาเล่าด้วยว่ารู้สึกหวั่นว่าการต่อสู้กับโรคพิษสุราเรื้อรังจะส่งผลเสียหายต่อความเป็นพ่อของลูกสาวน่ารักทั้งสาม
นอกจากนั้น เขาเปิดใจว่าชีวิตของเขานับวันมีแต่จะ “โดดเดี่ยวมากขึ้นและมากขึ้น” พร้อมกับทำนายชะตากรรมตนเองไว้อย่างแม่นยำน่าขนลุก ... เขาคงจะต้องตายตามลำพัง
“ผมจะต้องตายโดยไม่มีใครอยู่เคียงข้าง แต่ในตอนนั้น ความว้าเหว่และความทุกข์ตรมจะเกาะอยู่กับผมอย่างพร้อมหน้า” อาริกล่าวและบอกด้วยว่า “มันเหมือนกับว่าผมไม่เคยจะสามารถต่อติดกับผู้ใดได้จริงๆ” นิวซีแลนด์ เฮอรัลด์นำเสนออย่างนั้น
ขณะที่การเลิกราหย่าร้างส่งผลเจ้าหญิงมาร์ธาต้องทรงเลิกกิจการโรงเรียนเทวดานั้น การหย่าร้างได้ทำให้ชีวิตของ อาริ ผู้หดหู่และอ้างว้างถึงกับล่มสลาย เขาหลบหนีชีวิตจริงไปหมกมุ่นกับการเขียนภาพและการผลิตนวนิยายเรื่องสุดท้าย คือ Inferno (ไฟนรก) หนังสือเล่มนี้ที่วางตลาดในปี 2018 และได้รับความนิยมสูงยิ่ง เป็นงานเขียนที่เปิดเผยถึงการต่อสู้กับปัญหาทางจิตของตัวเขาไว้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งรวมถึงอาการจากความเครียดรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการประสาทหลอนเห็นภาพที่ไม่มีอยู่จริง ปวดศีรษะรุนแรง หายใจไม่ได้ นอกจากนั้น ยังสะท้อนถึงความเจ็บปวดที่ถูกสะสมจากคำวิจารณ์เชิงลบต่างๆ นานา ซึ่งเย้ยหยันว่าเขาไม่เก่งจริง เดลิเมลออนไลน์ และเอลมอนโดของสเปนรายงาน
เดลิเมลออนไลน์นำเสนอบทสัมภาษณ์ที่ อาริ เบห์น ให้กับหนังสือพิมพ์ แวร์เดนส์ กาง (วีจี) สื่อแท็บลอยด์ยักษ์ของนอร์เวย์ ในช่วงโปรโมตหนังสือ Inferno ปี 2018 ราวกับจะฝากไปถึงอดีตภริยา ว่า “ผมเป็นอดีตไปแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีใครบอกให้โลกทราบ ในยามที่ย่ำแย่ที่สุดผมคือไอ้ตัวตลก ในยามที่รุ่งเรืองที่สุดผมเป็นนักเล่าเรื่อง แต่สำหรับหลายๆ คน ผมเป็นไอ้งั่ง”
อาริ เบห์น ยอมรับว่าเขาทนทุกข์จากความรู้สึกหดหู่อ้างว้างที่เล่นงานเขาอย่างหนักหลังการหย่าร้าง เอลมอนโดเล่าโดยอ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ที่ อาริ ให้ไว้กับสื่อค่ายหนึ่งของนอร์เวย์ ดังนี้
“หลังจากผมกับเจ้าหญิงหย่ากัน ผมถูกความหวั่นกลัวเล่นงาน การหย่าร้างทำให้ผมรู้สึกเหมือนผมกำลังตายลงอย่างช้าๆ ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมตายทีละน้อยทุกวัน”
นี่คือผู้ชายสามัญชนคนไม่ธรรมดา ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ดึงดูดให้เจ้าหญิงมาร์ธา ลุยเซอ รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์นอร์เวย์ รู้สึกปลาบปลื้มว่า “พบแล้ว” บุรุษที่มองเห็นตัวตนแท้จริงของพระองค์
“พบแล้ว ... แต่ไม่ใช่” ความสัมพันธ์ที่แท้จริงคงจะเป็นอะไรประมาณนี้ เพราะพระเอกของเจ้าหญิงช่างมากมายด้วยปมซับซ้อน ซ้ำยังเขายังมีช่องกลวงและเวิ้งว้างภายในใจกลางวิญญาณ ซึ่งอาจจะต้องคำสาปที่กีดกันไม่ให้ผู้ใดสามารถอัดฉีดเติมเต็มให้เขาได้ แม้เขาจะมีสาวสวยนักกฎหมายมาใช้ชีวิตอยู่ด้วย มาคอยช่วยดูแลตั้งแต่ปี 2018 ก็ตาม
และในปลายปี 2018 เดียวกันนั้นเอง เจ้าหญิงมาร์ธา ลุยเซอ อดีตภรรยาของเขา ได้ปลูกต้นรักใหม่ โดยทรงพบชายในฝัน คนที่ใช่ คนที่มองเห็นตัวตนแท้จริงของพระองค์ได้ลึกซึ้งกว่าคนแรก
ผู้ชายคนนั้นคือ ดูเร็ก แวร์เรตต์ หนุ่มอเมริกัน-แอฟริกันที่เป็นไบเซ็กชวลผิวดำสนิท และเป็นผู้วิเศษ-หมอผีชาแมนยุคใหม่ไฮเทค ซึ่งให้บริการบำบัดรักษาสุขภาพกายและจิตใจของเซเลบจำนวนมากในวงการฮอลลีวูด สหรัฐอเมริกา
ทั้งสองควงคู่กันอย่างแนบแน่น และต่อมา ในต้นเดือน พ.ค.2019 เจ้าหญิงมาร์ธาประกาศผ่านอินสตาแกรมแบบไม่แคร์สื่อว่า ทรงรักใคร่และคบหาดูใจกับชาแมนดูเร็กเป็นที่แน่นอนแล้ว ในการนี้ ท่านผู้ชมในนอร์เวย์พากันสงสารเห็นใจ อาริ เบห์น ว่าหมดโอกาสแน่นอนที่นักเขียนหัวใจบอบช้ำจะกลับไปกอบกู้สัมพันธ์กลับคืนมาได้
และแล้ว ชาวนอร์วีเจียนต้องปิดศักราช 2019 ด้วยข่าวอันน่าตระหนกว่า อาริ เบห์น ที่พวกเขาติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดละม้ายเรียลิตีโชว์ ได้ปลิดชีวิตตนเอง ก้าวออกจากความทุกข์กายทุกข์ใจและความป่วยไข้ ขณะอยู่ในบ้านตามลำพังในคืนคริสต์มาส ปี 2019 อันเป็นวันซึ่งพระคู่รักของเจ้าหญิง ได้ร่วมพิธีมิสซาฉลองคริสตสมภพด้วยกันกับพระราชวงศ์
หมอผีฮอลลีวูดเดินทางกลับสู่ชีวิตและธุรกิจชาแมนในสหรัฐฯ ขณะที่ดอกฟ้าราชนิกุลของเขาแบกรับเสียงติเตียนจากสังคมว่าพระองค์และพระคู่รักคือปัจจัยกดดันนักเขียนแสนที่จะเก่งแสนที่จะน่าสงสารของประชาชน ให้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย ในเวลาเดียวกัน พระราชวงศ์รับผิดชอบการจัดพิธีศพ โดยกษัตริย์เฮรัลด์ที่ 5 ควีนซอนญา และมกุฎราชกุมารโฮกุนทรงให้เกียรติอย่างสูงแก่ อาริ เบห์น ผู้เป็นอดีตสมาชิกพระราชตระกูลยาวนาน 15 ปี
ทั้งนี้ แผนลั้นลาของพระคู่รักที่วางไว้สำหรับไตรมาส 1/2020 ต้องระงับทั้งหมดเพื่อเห็นแก่พระธิดาทั้งสามหญิงซึ่งยังสะเทือนใจกับการสูญเสียบิดาไปอย่างปุบปับ ยิ่งกว่านั้น การอาละวาดของโรคโควิด-19 ก็มีผลกระทบมหาศาล ทั้งการปิดประเทศและการบังคับใช้มาตรการอันเข้มงวดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ดอกฟ้าราชนิกุลกับหมอผีอเมริกันต้องพรากจากกัน โดยมีโซเชียลมีเดีย กับแอป FaceTime ช่วยบรรเทาความรวดร้าว
ในเวลาเดียวกัน นั่นคือการเว้นวรรคให้แก่ความขัดแย้งระหว่างเจ้าหญิงมาร์ธาและสาธารณชน โดยไม่มีใครคาดเลยว่าบรรยากาศทางสังคมในนอร์เวย์ ณ ปี 2022 จะปั่นป่วนฉกรรจ์กว่าที่เคยประสบกันในศักราชใดๆ
(โปรดติดตามอ่านตอนจบ --เบื้องลึกชีวิตรัก เจ้าหญิงกับหมอผีชาแมน https://mgronline.com/around/detail/9650000113215 )
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า
(ที่มา : อีฟนิงสแตนดาร์ด แวนิตีแฟร์ NewsinEnglish ของนอร์เวย์ พีเพิล บีบีซี รอยัลตี้กรุ๊ปดอทแฟนด้อม นิวยอร์กไทมส์ เดลิเมลออนไลน์ นิตยสารแมสซีฟ นิวซีแลนด์เฮอรัลด์ เอลมอนโด เอพี รอยเตอร์ เอเอฟพี)