นักวิชาการ ม.สวนดุสิต ยื่น ป.ป.ช. เอาผิด “สารี อ๋องสมหวัง” อ้างล้วงความลับราชการเปิดเงื่อนไข 14 ข้อ เยียวยาผู้บริโภคกรณีควบรวมทรู-ดีแทค เข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
วันนี้ (22 พ.ย.) น.ส.รุ่งรวี คล้ายสุวรรณ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยสวนดุสิต เข้ายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค ว่า มีการกระทําเข้าข่ายความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ กรณีปรากฏข่าวว่า น.ส.สารี ล่วงรู้ถึงเงื่อนไขการควบรวมกิจการ 14 ข้อ อันเป็นความลับทางราชการที่ยังไม่ได้มีการอนุญาตเปิดเผยข้อมูลความลับ ตามที่ปรากฏในการพาดหัวข่าวของสื่อมวลชนสำนักต่างๆ อาทิ มติชนออนไลน์ ฉบับวันที่ 26 ก.ย. 65 ที่พาดหัวข่าวว่า “เปิด 14 ข้อเยียวยาผู้บริโภค หาก ‘กสทช.’ ไฟเขียวดีลทรู-ดีแทค” มีเนื้อหาข่าวเป็นการรายงาน เปิดเผยถึงข้อมูลความลับทางราชการเกี่ยวกับมาตรการเฉพาะ 14 ข้อ โดยมี น.ส.สารี ให้สัมภาษณ์วิพากษ์วิจารณ์มาตรการเฉพาะ 14 ข้อ เอาไว้ด้วย จึงเป็นการยืนยันว่า น.ส.สารี เป็นบุคคลอื่นที่ได้ล่วงรู้และน่าจะนําข้อมูลความลับเกี่ยวกับมาตรการเฉพาะ 14 ข้อ อันเป็นความลับราชการมาเปิดเผย อีกทั้งวันที่ 14 ต.ค. สำนักข่าวท็อปนิวส์ ออนไลน์ พาดหัวข่าวว่า “สารี” โพล่งเอกสารหลุด กสทช. คนไหนจะรับผิดชอบ?” ระบุถึงรายงานการศึกษาของ กสทช. ที่ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาต่างประเทศ SCF Associates Ltd. ด้วยงบประมาณสิบล้านบาท และวันเดียวกันได้มี พาดหัวข่าวอีกกรณีว่า “รักษาการเลขาฯ กสทช.ถาม “สารี” เอามาจากไหนผลศึกษาตปท. มั่นใจ 20 ต.ค. จบผนึก TRUE-DTAC”
น.ส.รุ่งรวี กล่าวอีกว่า จากการติดตามและพิจารณาเนื้อหาข่าวจากหลายสำนักแล้ว เห็นว่า มาตรการเฉพาะ 14 ข้อ เยียวยาผู้บริโภค ภายหลังการควบรวมกิจการ ระหว่างทรูและดีแทค และการเปิดเผยข้อมูลรายงานการศึกษาที่ กสทช.ว่าจ้างบริษัท SCF Associates Ltd. ที่ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาของคณะกรรมการ กสทช.นั้น เข้าข่ายเป็นความลับของทางราชการ เพราะข้อมูลดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา ยังไม่ได้มีการเปิดเผยหรืออนุญาตให้เปิดเผยต่อสาธารณชนได้ จึงเข้าข่ายเป็นความลับของทางราชการที่ผู้ใดจะล่วงรู้ก่อนวันเปิดเผยข้อมูลไม่ได้ หรือเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในการนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ และเป็นข้อพิรุธว่าเหตุใดจึงล่วงรู้ข้อมูลความลับและนำมาเปิดเผยได้
“ประกอบกับพฤติกรรมระหว่าง น.ส.สารี กับ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ที่ปรึกษาประจำประธาน กสทช. เห็นอย่างชัดเจนว่า ไม่เป็นกลาง สร้างกระแสต่อต้านและชี้นำการควบรวมกิจการในครั้งนี้มาโดยตลอด จึงเชื่อว่า น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม หรืออาจมีส่วนเป็นผู้สนับสนุนในการกระทําผิดฐานเปิดเผยข้อมูลความลับของทางราชการ ด้วยเจตนาไม่สุจริต เข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย”
น.ส.รุ่งรวี ยังเชื่อว่า การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว น.ส.สารี ในฐานะเลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค น่าจะจงใจที่จะก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายและความเป็นกลางต่อการปฏิบัติหน้าที่ และการพิจารณาเรื่องดังกล่าวของคณะกรรมการ กสทช. อีกทั้งยังเป็นการชี้นําและโน้มน้าวให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับมาตรการเฉพาะ ที่จะเกิดขึ้นกับการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค อย่างไม่เป็นธรรมและฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงขอให้ ป.ป.ช. ดําเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของ น.ส. สารี ในฐานะเลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภคว่าเป็นการเข้าข่ายเป็นการกระทําที่ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืน หรือปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หรือกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการใดหรือไม่
นอกจากนี้ ยังเห็นว่า ขณะนี้ทางสภาองค์กรของผู้บริโภคได้มีการยื่นฟ้องกสทช.กรณีการควบรวมทรู-ดีแทค ต่อศาลปกครองกลางแล้ว น.ส.สารี และคณะก็ควรหยุดการเคลื่อนไหวต่อต้านและชี้นำ เพราะจะเป็นการกดดันการพิจารณาของศาลฯ ขณะเดียวกัน กสทช.ก็ควรเร่งพิจารณาเงื่อนไขการเยียวยาผู้บริโภค เนื่องจากนับแต่ กสทช.มีมติรับทราบการควบรวมจนถึงปัจจุบันถือว่าเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้ว การดำเนินการน่าจะแล้วเสร็จ ยิ่งล่าช้าก็จะยิ่งกระทบต่อผู้บริโภค