อาจารย์สวนดุสิต ร้อง ป.ป.ช. สอบ “หมอลี่” ชี้ เปิดเงื่อนไข 14 ข้อเยียวยาผู้บริโภคกรณีควบรวมทรู-ดีแทค ทั้งที่ยังไม่เป็นมติ กสทช.เข้าข่ายเผยข้อมูลลับทางราชการ ทุจริตต่อหน้าที่ และปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วย กม.
วันนี้ (8 พ.ย.) น.ส.รุ่งรวี คล้ายสุวรรณ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยสวนดุสิต เข้ายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผ่าน น.ส.กมลรัตน์ นิลกำแหง ผู้อำนวยการกลุ่ม กลุ่มวิเคราะห์และพิสูจน์หลักฐานเบื้องต้นสำนักงาน ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ที่ปรึกษาประจำประธานกรรมการ กสทช. ในประเด็นที่ นพ.ประวิทย์ ได้มีการเปิดเผยข้อมูล “เงื่อนไข 14 ข้อเยียวยาผู้บริโภคกรณีควบรวมทรู-ดีแทค” ต่อสาธารณะผ่านสื่อสารมวลชน ทั้งที่ขณะนั้นข้อมูลดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ กสทช. ยังไม่ได้มีการเปิดเผยหรืออนุญาตให้เปิดเผยต่อสาธารณชน ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายและส่งผลกระทบต่อความเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ กระทบต่อพิจารณาเรื่องการควบรวมกิจการของคณะกรรมการ กสทช. รวมถึงก่อให้เกิดความสับสนต่อประชาชนที่ได้พบเห็นข่าวดังกล่าว จึงขอให้ ป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริว่า การปฏิบัติหน้าที่ของ นพ.ประวิทย์ เข้าข่ายการกระทำทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือไม่ เพราะ นพ.ประวิทย์ มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาประธานกรรมการ กสทช.มีหน้าที่รับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการควบรวมกิจการของทรูและดีแทค ถือเป็นบุคคลที่มีฐานะพิเศษกว่าบุคคลทั่วไปและสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ของสำนักงาน กสทช. ได้ทั้งที่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
“ดิฉันเห็นข่าวทางสื่อออนไลน์แห่งหนึ่ง พาดหัวข่าวว่า “เปิด 14 ข้อเยียวยาผู้บริโภค หาก กสทช.ไฟเขียวดีลทรู-ดีแทค” โดยเนื้อหาข่าวเป็นการรายงานเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับมาตรฐานเฉพาะ 14 ข้อที่จะกำหนดในการควบรวมกิจการของทรูและดีแทคที่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ กสทช. และยังไม่ได้มีการเปิดเผย ประกอบกับเห็นว่าพฤติกรรมระหว่าง นพ.ประวิทย์ กับ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค ดูมีความสนิทสนมเกื้อกูลกันมาตลอด และยังมีความเห็นไปในทางเดียวกันที่จะคัดค้านไม่ให้มีการควบรวมระหว่างทรูและดีแทค จึงคาดว่าน่าจะมีการส่งต่อ หรือ แลกเปลี่ยนข้อมูลมาตรการเฉพาะ 14 ข้อเกี่ยวกับการเยียวยาผู้บริโภค ซึ่งเป็นความลับทางราชการ และนำมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเห็นได้จากพิรุธในการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนของ นพ.ประวิทย์ และคำให้สัมภาษณ์ของ น.ส.สารี ในเนื้อหาที่ความสอดคล้องกันอย่างเห็นได้ชัด และเป็นการให้สัมภาษณ์และรายงานข่าวในวันเดียวกัน”
น.ส.รุ่งรวี กล่าวอีกว่า การล่วงรู้ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการเฉพาะ 14 ข้อดังกล่าว จึงอาจมีส่วนที่เกี่ยวข้อง หรือมีส่วนเป็นผู้สนับสนุนในการเปิดเผยข้อมูลความลับของทางราชการ เพราะมีข้อพิรุธในพฤติกรรมและการกระทำหน้าที่อย่างไม่เป็นกลาง ซึ่งได้มีการแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะหลายครั้งหลายคราว ด้วยการชักจูงความคิดประชาชนผู้รับฟังรับชมไปในทางคัดค้านไม่ให้มีการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทคตลอดมา แสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นกลางอย่างชัดเจน และอาจเป็นการกระทำที่เข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงทำให้ตนต้องมายื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช.ขอให้ตรวจสอบไต่สวนข้อเท็จจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของ นพ.ประวิทย์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อกลางเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา นพ.ประวิทย์ และ น.ส.สารี ถูกนักกฎหมายที่อ้างเป็นตัวแทนภาคประชาชน แจ้งความกล่าวโทษเป็นคดีอาญา ที่สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง ในความผิดฐานเปิดเผยความลับทางราชการ และบิดเบือนข้อความจริงหรือนำความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ จากกรณี น.ส.สารี และ นพ.ประวิทย์ ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ทราบและรู้เห็นมาตรการเฉพาะภายหลังการควบรวมกิจการทรูและดีแทค หรือ 14 เงื่อนไขก่อนที่บอร์ด กสทช.จะพิจารณาและเปิดเผย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ