xs
xsm
sm
md
lg

“รุจิระ บุนนาค” แนะ กสทช.ใช้ประกาศปี 61 กับกรณีทรู-ดีแทค แต่อย่าใช้อำนาจเกินกฎหมายกำหนด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"นักวิชาการกฎหมาย" วิเคราะห์ประเด็นกฎหมายกรณีควบรวมทรู-ดีแทค เข้าประกาศปี 2561 “รับทราบ” และ “ออกเงื่อนไข” แนะ กสทช.ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย สร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้บริโภคและประเทศชาติ เตือนอย่าใช้อำนาจเกินกฎหมายกำหนด
 
ดร.รุจิระ บุนนาค อาจารย์พิเศษ นักวิชาการ และนักกฎหมาย กล่าวถึงกรณีการควบรวมธุรกิจของทรู-ดีแทค ที่ล่าสุดคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เลื่อนลงมติออกไปเป็นวันที่ 20 ต.ค. 65 ในมุมมองของนักกฎหมายว่า การควบรวมกิจการทรู-ดีแทคเป็นไปตามประกาศ กสทช. พ.ศ. 2561 อย่างชัดเจน คือเป็นการที่สองบริษัทควบรวมกันและเกิดเป็นบริษัทใหม่ (A+B=C) ซึ่งเป็นกรณีที่เรียกว่า Amalgamation ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าไปมีอำนาจ Take Over หรือควบคุมในผู้รับใบอนุญาตอีกฝ่าย แต่เป็นการควบรวมกันและเกิดเป็นบริษัทใหม่ ตามประกาศจึงไม่ได้กำหนดให้ กสทช.มีอำนาจอนุญาตหรือไม่อนุญาต แต่ยังคงมีอำนาจในการกำหนดมาตรการเฉพาะเพื่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งเป็นกรณีแบบเดียวกับการควบรวม TOT และ CAT เป็น NT หรือ บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) แต่จะแตกต่างจากกรณีเอไอเอสเข้าซื้อกิจการ 3BB ที่เป็นไปตามประกาศ พ.ศ. 2549 เป็นกรณีแบบการเข้าซื้อหรือถือหุ้นของผู้รับใบอนุญาตรายอื่น โดยถือว่าเป็นกรณีที่แตกต่างกับการควบรวมระหว่างทรูกับดีแทคอย่างสิ้นเชิง จึงไม่สามารถนำกรณีเอไอเอสเข้าซื้อกิจการ 3BB มาเปรียบเทียบกันได้
 
“การควบรวมทรูและดีแทคต้องยึดตามประกาศของ กสทช. ปี 2561 ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า กสทช.ไม่มีอำนาจพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตการรวบกิจการ แต่มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะเพื่อป้องกันความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ สอดคล้องกับผลการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่กสทช.ได้ให้ศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ และข้อสรุปของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้ความเห็นและให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่รัฐบาลและหน่วยงานทางราชการ ทั้งสองหน่วยงานมีบทสรุปที่สอดคล้องกันว่า กสทช.ต้องพิจารณาตามประกาศของ กสทช. พ.ศ. 2561 ดังนั้น กสทช.จึงมีหน้าที่รับทราบเพียงเท่านั้น แต่ไม่ได้มีอำนาจว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตควบรวม”
 
ดร.รุจิระกล่าวต่อว่า ตามประกาศมาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ปี 2561 ในข้อ 5 ได้ระบุชัดเจนว่าผู้รับใบอนุญาต หรือผู้มีอำนาจควบคุมของผู้รับใบอนุญาตที่ประสงค์จะทำการรวมธุรกิจกับผู้รับใบอนุญาตรายอื่นต้องรายงานต่อเลขาธิการ กสทช.ไม่น้อยกว่า 90 วันก่อนการดำเนินการ ซึ่งในส่วนนี้ทางทรูและดีแทคก็ได้ดำเนินการตามขั้นตอนแล้ว ในขณะเดียวกันหากผู้บริโภคมีความกังวลเรื่องราคาค่าบริการว่าจะสูงขึ้นหรือไม่หลังจากควบรวมกิจการ ในส่วนนี้ตามประกาศข้อ 12 ที่ระบุว่า หากการรวมธุรกิจตามข้อ 5 ส่งผลให้ตลาดที่เกี่ยวข้องมีดัชนี HHI มากกว่า 2,500 และเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากเดิมมากกว่า 100 ทาง กสทช.สามารถพิจารณากำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะมาบังคับใช้เพื่อป้องกันความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะได้ ดังนั้น จะเห็นได้ว่า กสทช.มีอำนาจและหน้าที่ในการคุ้มครองผู้บริโภคด้วยการควบคุมราคาค่าบริการ และที่ผ่านมาค่าบริการโทรศัพท์มือถือได้ลดลงมาตลอด เมื่อเปรียบกับสินค้าอื่นๆ ที่ราคาสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงของภาวะเงินเฟ้อ และจะเห็นได้ว่าราคาของผู้ให้บริการยังห่างจากเพดานราคาที่ กสทช.กำหนดไว้ 10% ซึ่งในกรณีหากราคาสูงกว่าที่กำหนด กสทช.ต้องพิจารณารับผิดชอบดำเนินการเพื่อให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์สูงสุดต่อไป
 
"ดังนั้น การควบรวม ทรู-ดีแทค จึงอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ กสทช.ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามที่กฎหมายบัญญัติ ในกรณีหาก กสทช.ใช้อำนาจเกินกฎหมายในการพิจารณา ประเด็นสำคัญคือ คณะกรรมการ กสทช.ถือเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ จึงถูกควบคุมโดยกฎหมายนี้ ตามมาตรา 172 ที่ระบุว่า เจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ อย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวังโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ อาจจะรวมไปถึงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่ได้กำหนดความผิดไว้เช่นกันด้วย อย่างไรก็ตาม บอร์ด กสทช.ชุดนี้แตกต่างกับที่ผ่านมา ตรงที่ไม่มีนักกฎหมายถูกเลือกเข้ามาเป็นบอร์ด กสทช.เลย จึงไม่มีผู้ที่คอยชี้นำแนวทางที่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย โดยเฉพาะในเรื่องควบรวมนี้ ที่การพิจารณาประเด็นด้านข้อกฎหมายซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญมาก” ดร.รุจิระกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น