ฝ่ายฝักใฝ่เครมลินในรัสเซีย แสดงความหวังว่ารีพับลิกันจะคว้าชัยศึกเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ ก้าวขึ้นมาครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรส ผลลัพธ์ที่พวกเขาเชื่อว่าอาจทำให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากเดโมแครต เจองานยากลำบากขึ้นและต้องดิ้นรนต่อสู้นานกว่าเดิมในการผลักดันแพกเกจช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา
อย่างไรก็ตาม สำหรับตอนนี้ผู้คนบางส่วนในมอสโกคาดหมายเพียงว่าความเห็นเป็นเอกฉันท์ระหว่าง 2 พรรคการเมืองของสหรัฐฯ จะเกิดรอยร้าว ไม่ว่าผลการเลือกตั้งกลางเทอมในวันอังคาร (8 พ.ย.) จะออกมาเป็นเช่นไร และพวกเขาไม่คาดหมายว่าแรงสนับสนุนเคียฟของวอชิงตันจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในระยะเวลาอันใกล้นี้
ทุกสายตาจับจ้องไปที่ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งถัดไปในปี 2024 แทน และผู้คนฝ่ายฝักใฝ่เครมลินในรัสเซีย แสดงความหวังว่าผลการเลือกตั้งในคราวนั้น จะก่อความปั่นป่วนและระบบการเมืองของอเมริกาจะเจอกับความโกลาหลครั้งใหม่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
จุดยืนของพวกเขาสะท้อนความคิดของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ที่เชื่อว่าการรุกรานยูเครนของรัสเซียที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ซึ่งเขาเรียกว่าเป็น "ปฏิบัติการพิเศษด้านการทหาร" เป็นส่วนหนึ่งของเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ ถอยห่างจากโลกที่ครองโดยสหรัฐฯ สู่โลกหลายขั้ว โลกที่มุมมองของประเทศต่างๆ อย่างเช่นรัสเซียและจีนควรถูกคิดคำนวณด้วย
"ชัยชนะของรีพับลิกันในศึกเลือกตั้งสภาคองเกรสสหรัฐฯ จะไม่นำไปสู่การปฏิวัตินโยบายการต่างประเทศของอเมริกาและจุดจบของแรงสนับสนุนของอเมริกาที่มีต่อยูเครน" อเล็กเซ ปุชคอฟ ส.ว.สายเหยี่ยวของรัสเซีย และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศเขียนบนเทเลแกรม
"อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไบเดนจะเจอกับงานยากลำบากมากขึ้นในการผลักดันโครงการช่วยเหลือทางการเงินที่มอบแก่เคียฟผ่านสภาคองเกรส และสถานะของพวกวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ ต่อเงินช่วยเหลือยูเครนแบบไม่มีขีดจำกัดจะเข้มแข็งยิ่งขึ้น" เขากล่าว
ปุชคอฟ ซึ่งตัวเขาเองถูกสหภาพยุโรปคว่ำบาตรในเดือนมีนาคม ฐานลงคะแนนโหวตสนับสนุนนโยบายยูเครนของมอสโก กล่าวต่อ ว่า มีโอกาสที่พรรครีพับลิกันอาจเล็งเป้าเล่นงานสิ่งที่เขาเรียกว่า "การใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย" ของไบเดนในยูเครน ก่อนถึงศึกเลือกตั้งทั่วไปในปี 2024 ในความพยายามกัดเซาะคะแนนนิยมของพรรคเดโมแครต
แต่ผลการศึกษาที่ดำเนินการโดยสถาบันศึกษานานาชาติที่มีสำนักงานใหญ่ในมอสโก ซึ่งแบ่งปันผลวิจัยกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานรัฐอื่นๆ สรุปว่าด้วยบรรยากาศของสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าสถาบันของอเมริกาและผู้มีสิทธิเลือกตั้ง นั่นหมายความว่าการเลือกตั้งไม่น่าจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อนโยบายยูเครนของวอชิงตัน
ประเด็นยูเครนมาพร้อมกับความกังวลหลักๆ ของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง โดยผลสำรวจความคิดเห็นต่างๆ ก่อนถึงศึกเลือกตั้ง ระบุว่าบรรดาผู้มีสิทธิลงคะแนนส่วนใหญ่แล้วมีความวิตกกับประเด็นปัญหาต่างๆ ในประเทศมากกว่า เช่น เงินเฟ้อ อาชญากรรม และการทำแท้ง
กลุ่มคนในแวดวงชาตินิยมสุดขั้วของรัสเซีย มีความเชื่อมั่นมากกว่าว่าศึกเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ ซึ่งคาดหมายว่ารีพับลิกันจะคว้าชัยในสภาผู้แทนราษฎรและเป็นไปได้ว่าจะครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาด้วย จะเป็นผลบอกกับผลประโยชน์ของพวกเขาในระยะยาว
Tsargrad เว็บไซต์ข่าวออนไลน์และสถานีโทรทัศน์ที่ได้รับเงินทุนจากคอนสแตนติน มาโลฟีด มหาเศรษฐีรัสเซียชาตินิยมสุดขั้ว ที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตร คาดการณ์ว่าท้ายที่สุดแล้วศึกเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นตัวทำลายล้างอเมริกา
"ณ ทางแยกอันวิกฤตยิ่งในประวัติศาสตร์โลก ศึกเลือกตั้งครั้งนี้อาจก่อผลกระทบใหญ่หลวงต่อสภาพแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์ และต่อยูเครนโดยเฉพาะ" สื่อแห่งนี้เขียน "และเช่นกัน มันอาจเป็นตัวจุดชนวนกระบวนการหมุนเหวี่ยงที่อาจเป็นจุดจบของสหรัฐฯ ในแบบที่เรารู้จักกันในวันนี้" อ้างถึงทฤษฎีความเป็นไปได้ของสงครามกลางเมืองสืบเนื่องจากการแบ่งขั้วทางการเมืองและความโกลาหลอันเนื่องจากผลการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ Tsargrad ทำนายว่าหากสถานการณ์ภายในประเทศดังกล่าวปะทุขึ้น สหรัฐฯ จะไม่มีศักยภาพพอที่จะสานต่อนโยบายของพวกเขาในยูเครน
ส่วน Pyotr Akopov คอลัมนิสต์รายหนึ่งของสำนักข่าวอาร์ไอเอ สื่อมวลชนแห่งรัฐรัสเซีย เขียนบทความ คาดการณ์ว่ารัสเซียจะเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงในศึกเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ เพราะว่าการโหวตจะทำให้เกิดความแตกแยกทางการเมืองหนักหน่วงขึ้นก่อนถึงศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 ที่เขาเชื่อว่าอาจเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายอีกรอบ
"ถ้าพวกเขาอยู่รอดในฐานะรัฐเดี่ยว สหรัฐฯ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากและจุดยืนในเวทีโลกของพวกเขาจะอ่อนแอลงไม่ว่าจะกรณีใดๆ" Akopov กล่าว "การเผชิญหน้ากับจีนจำเป็นต้องระดมทรัพยากรทั่วโลกทั้งหมดของประเทศ และความสนใจต่อยุโรปจะอ่อนแอลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อปราศจากสหรัฐฯ ตะวันตกจะไม่สามารถคงการควบคุมดินแดนต่างๆ ทางตะวันตกของรัสเซียในระยะยาวได้"
(ที่มา : รอยเตอร์)