รัฐมนตรีต่างประเทศ แอนโทนี บลิงเคน ของสหรัฐฯ ให้ความเห็นในวันจันทร์ (17 ต.ค.) ว่า ปักกิ่งต้องการเข้ายึดไต้หวันในกรอบเวลาเร็วกว่าที่พวกเขาเคยพิจารณาไว้ก่อนหน้านี้มาก พร้อมกับเตือนด้วยว่า ประธานาธิบสี จิ้นผิง กำลังนำจีนไปในทิศทางที่แข็งกร้าวยิ่งขึ้น
สี ที่กำลังจะได้รับการรับรองครองตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อเป็นสมัยที่ 3 กล่าวปราศรัยที่ปักกิ่งเมื่อวันอาทิตย์ (16) ซึ่งเป็นวันแรกของการประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศ ครั้งที่ 20 ของพรรค โดยย้ำเจตนารมณ์ที่จะพยายามต่อไปอย่างที่สุดเพื่อนำเอาไต้หวันกลับมารวมกับจีนแผ่นดินใหญ่อย่างสันติ แต่ไม่สัญญาว่าจะไม่ใช้กำลัง อีกทั้งขอสงวนสิทธิในการดำเนินการตามมาตรการทั้งหมดที่จำเป็น
ด้าน บลิงเคน กล่าวในงานประชุมของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เมื่อวันจันทร์ ซึ่งมี คอนโดลีซซา ไรซ์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เข้าร่วมด้วย ว่า โลกเห็นจีนในภาพที่แตกต่างไปมากในช่วงหลายปีที่อยู่ภายใต้การนำของสี
บลิงเคนกล่าวโจมตีว่า จีนปิดกั้นปราบปรามประชาชนในประเทศเข้มงวดขึ้น ขณะเดียวกัน ก็แสดงท่าทีก้าวร้าวมากขึ้นนอกประเทศ ซึ่งในหลายๆ กรณีถือเป็นความท้าทายต่อผลประโยชน์และค่านิยมของอเมริกา
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ยังกล่าวหาสี “สร้างความตึงเครียดอย่างมาก” ด้วยการเปลี่ยนแนวทางต่อไต้หวัน
เขาบอกว่า จีนตัดสินใจเด็ดขาดว่า ไม่อาจยอมรับสถานะดั้งเดิมได้อีกต่อไป และจะเดินหน้ารวมชาติเร็วกว่ากำหนดมาก
ก่อนหน้านี้ นายทหารอาวุโสของสหรัฐฯ หลายคนเคยเตือนว่า จีนขยายแสนยานุภาพทางทหารถึงจุดที่สามารถบุกเข้ายึดไต้หวันในไม่กี่ปีข้างหน้า
จุดยืนของจีนตลอดระยะเวลายาวนานคือ การรวมชาติกับไต้หวันอย่างสันติ แต่สงวนสิทธิในการใช้กำลังหากจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไทเปประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ พร้อมกันนั้นปักกิ่งก็กล่าวหาสหรัฐฯว่า ยุยงส่งเสริมให้กำลังใจ “พวกที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน” และประกาศให้ไต้หวันเป็นชาติเอกราช โดยเฉพาะในช่วงที่ ไช่ อิงเหวิน และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าของเธอ ขึ้นปกครองไต้หวัน
สี นั้นเชื่อมโยงการรวมไต้หวันกับคำมั่นสำคัญของเขาในการ “ฟื้นฟูจีน” และเคยประกาศก่อนหน้านี้ว่า ไม่สามารถปล่อยผ่านเป้าหมายการรวมชาติไม่มีที่สิ้นสุดจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง
ในการปราศรัยเมื่อวันอาทิตย์ สีย้ำสาระคล้ายเดิมว่า กงล้อประวัติศาสตร์กำลังหมุนไปสู่การรวมชาติของจีน
เวลาเดียวกัน ความสัมพันธ์วอชิงตัน-ปักกิ่ง กำลังอยู่ในช่วงตกต่ำที่สุดในรอบหลายทศวรรษภายใต้คณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรื่อยมาจนถึง โจ ไบเดน ผู้นำคนปัจจุบัน จากปัญหามากมายตั้งแต่การค้า จนถึงความมั่นคงและสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ เมื่อราวสัปดาห์เศษมานี้ สหรัฐฯ เพิ่มมาตรการจำกัดกีดกันการส่งออกชิประดับก้าวหน้า และเครื่องจักรอุปกรณ์ในการผลิตชิปให้แก่จีน ในขอบเขตครอบคลุมกว้างขวางอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และจีนกล่าวหาว่าวอชิงตันพยายามขัดขวางการพัฒนาของแดนมังกร โดยมุ่งมั่นรักษาฐานะความเป็นเจ้าใหญ่เหนือใครทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเอาไว้ให้ได้
กระนั้น ในการพูดคราวนี้ บลิงเคนบอกว่า สองชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกควรยินดีร่วมมือกันในส่วนที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน และกล่าวว่า โลกคาดหวังให้อเมริกาและจีนร่วมมือกันในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สุขภาพ และการลักลอบค้ายาเสพติด
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เพิ่มเติมว่า ปักกิ่งแค่ต้องตอบสนองข้อเรียกร้องจากนานาชาติที่ต้องการให้จีนมีบทบาทเชิงบวกในประเด็นปัญหาต่างๆ ของโลก
ทั้งนี้ จีนยุติการร่วมมือกับอเมริกาในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการลักลอบค้ายาเสพติดเมื่อเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการประท้วงการเดินทางเยือนไต้หวันของแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ นอกเหนือจากการซ้อมรบใหญ่ที่สุดรอบเกาะไต้หวัน
ขณะเดียวกัน มีการคาดการณ์อย่างกว้างขวางว่า สีจะพบหารือกับไบเดน ระหว่างการประชุมสุดยอดจี20 เดือนหน้าที่บาหลี ซึ่งผู้นำทั้งคู่จะได้พบกันแบบเจอหน้ากันครั้งแรกนับจากไบเดนเข้ารับตำแหน่ง
(ที่มา : เอเอฟพี, ซินหัว)