นักวิเคราะห์ชี้การเรียกร้องของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ให้ “เอาชนะสงคราม” ในเรื่องเทคโนโลยีสำคัญยิ่งยวดทั้งหลาย อาจเป็นการส่งสัญญาณว่าต่อนี้ไปปักกิ่งจะปรับปรุงยกเครื่องแนวทางในการผลักดันอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ด้วยการเพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายและการแทรกแซงที่มีรัฐเป็นตัวนำ เพื่อรับมือความกดดันจากอเมริกา
ในการกล่าวรายงานกิจการของ สี เมื่อวันอาทิตย์ (16 ต.ค.) ซึ่งเป็นรายการแรกของการประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศพรรคคอมมิวนิสต์จีนคราวนี้ ปรากฏว่าเขาพูดเรื่องการบรรลุถึงการพึ่งตนเองด้านเทคโนโลยีอยู่ 4 ครั้ง ขณะที่ในการกล่าวรายงานกิจการในที่ประชุม “สมัชชา” ครั้งก่อนเมื่อปี 2017 นั้น สี ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เลย เวลาเดียวกัน เขาก็อ้างอิงพูดถึงคำว่า “เทคโนโลยี” 40 ครั้ง จาก 17 ครั้งในรายงานเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ทั้งนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนจัดประชุม “สมัชชา” เช่นนี้ทุกๆ 5 ปีโดยที่ครั้งนี้เป็น “สมัชชา” ครั้งที่ 20
ถึงแม้รายงานคราวนี้ของ สี ไม่ได้พาดพิงถึงประเทศใด หรือระบุว่าอุตสาหกรรมที่จะให้บรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าว แต่การเปิดเผยรายงานฉบับนี้มีขึ้นไม่กี่วันหลังจากวอชิงตันออกระเบียบใหม่ที่มุ่งบ่อนทำลายความพยายามของจีนในการพัฒนาอุตสากรรมชิป
นักวิเคราะห์ของเอชเอสบีซีระบุว่า สาระสำคัญในเรื่องนี้ของจีนก็คือ การเพิ่มการใช้จ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านสเต็ม (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) และการสนับสนุนด้านนโยบาย
ขณะที่ ไอริส ผาง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ด้านจีนและดินแดนปริมณฑลของไอเอ็นจี มองว่า สิ่งที่ สี พูดถึงนั้นมุ่งเน้นถึง “ความจำเป็นอย่างเร่งด่วนทั้งในด้านการหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และการส่งเสริมการพึ่งตนเองในการผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี”
ผาง เชื่อว่า สี พูดเช่นนี้โดยคิดถึงรัฐบัญญัติ CHIPS ที่สหรัฐฯ เพิ่งประกาศบังคับใช้ ดังนั้น เธอจึงมองว่าการใช้จ่ายด้านการวิจัยเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ของจีนควรจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งปกติแล้วจีนมักเปิดเผยนโยบายใหม่ๆ กันหลังจากที่มีเหตุการณ์สำคัญๆ อย่างเช่นประชุมสมัชชาพรรคเช่นนี้
ทั้งนี้ เมื่อวันจันทร์ (17) ราคาหุ้นบริษัทเทคโนโลยีสารสนเทศของจีนและกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ทะยานขึ้น 1% และ 0.7% ตามลำดับ
ระหว่างการกล่าวรายงานของสี เขาระบุรายชื่ออุตสาหกรรมที่จีนมีความก้าวหน้าอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงการผลิตเครื่องบินขนาดใหญ่ การเดินทางในอวกาศ การนำทางด้วยดาวเทียม ซึ่งทั้งหมดนี้พึ่งพิงการสนับสนุนอย่างมากจากรัฐ
แต่ สี ไม่มีการกล่าวถึงเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งอันที่จริงรัฐบาลจีนได้อัดฉีดเงินไปให้หลายหมื่นหลายแสนล้านดอลลาร์ ทว่ายังคงถูกมองว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ถูกปล่อยให้สามารถใช้แนวทางที่ตลาดเป็นตัวกำหนด ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ
จากข้อมูลของซีวีอินโฟ บริษัทวิจัยการลงทุนของจีนนั้น พวกธุรกิจเงินร่วมลงทุน (เวนเจอร์แคปิตอล) ได้รับอนุญาตให้ลงทุนในบริษัทชิปจีน โดยบริษัทบางแห่งได้เงินสดจากเวนเจอร์แคปิตอลกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 2020-2021
นอกจากนั้น บริษัทชิปที่ได้รับการสนับสนุนจากปักกิ่งยังมีอิสระในการซื้อขายสินค้าตามความต้องการของตลาด ในการแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ต่างชาติ
ทว่า แม้การสนับสนุนดังกล่าวช่วยเพิ่มศักยภาพของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริ่ง อินเตอร์เนชันแนล คอร์ป และแยงซี เมมโมรี เทคโนโลยีส์ แต่กลับไม่มีบริษัทชิปจีนที่สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดชิปขั้นสูง ซึ่งยังถูกครอบงำโดยเทคโนโลยีต่างชาติอย่างมาก
มิหนำซ้ำภาคอุตสาหกรรมนี้ของจีนยังประสบความล้มเหลวราคาแพงหลายครั้ง เช่น ในปี 2017 รัฐบาลท้องถิ่นของเมืองอู่ฮั่น และนักลงทุนในปักกิ่งอัดฉีดเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้อู่ฮั่น ฮงซิน แมนูแฟกเจอริ่ง ซึ่งเป็นโรงงานผลิตชิปที่ตั้งเป้าผลิตเวเฟอร์เดือนละ 30,000 ชิ้น แต่กลับปิดกิจการลงเมื่อปีที่แล้วเนื่องจากปัญหาการเงิน
ในช่วงก่อนการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ คนจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับกองทุนชิปแห่งชาติของจีนที่ระดมทุนได้ 47,600 ล้านดอลลาร์ ก็ถูกสอบสวนข้อหาทุจริต ทำให้เกิดการคาดเดากันไปต่างๆ เกี่ยวกับอนาคตของกองทุนดังกล่าว
ซ่ง ซื่อเถา และจาง เว่ย นักวิเคราะห์ของเทียนเฟิง ซีเคียวริตี้ส์ ตั้งข้อสังเกตว่า ในการแถลงของ สี ที่มีการเรียกร้องให้จีน “สร้างระบบใหม่ที่มีระดับชาติเป็นผู้นำ” สำหรับเทคโนโลยีนั้น ดูเหมือนเป็นการผละออกจากข้อเรียกร้องเมื่อปี 2017 ซึ่ง สี เสนอให้สร้างระบบสำหรับการคิดค้นนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ “อิงกับวิสาหกิจ และ “อิงอยู่กับตลาด”
ทั้งคู่ทิ้งท้ายว่า อุตสาหกรรมชิปของจีนอาจมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญในอนาคต จากที่ขับเคลื่อนโดยตลาด ก็จะเปลี่ยนเป็นขับเคลื่อนโดยเงินทุนของชาติ
(ที่มา : รอยเตอร์)