ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะดำเนินการทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับซาอุดีอาระเบีย หลังโอเปกพลัสแถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จะปรับลดกำลังผลิตน้ำมัน โดยไม่สนเสียงคัดค้านจากอเมริกา จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ในวันอังคาร (11 ต.ค.)
คำแถลงนี้มีขึ้น 1 วันหลังจาก บ็อบ เมเนนเดซ วุฒิสมาชิกทรงอิทธิพลของพรรคเดโมแครต ประธานคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของวุฒิสภา แนะนำว่าสหรัฐฯ ควรระงับความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียในทุกขอบเขต ในนั้นรวมถึงการขายอาวุธ
คารีน ฌอง-ปิแอร์ เลขานุการฝ่ายสื่อสารมวลชนทำเนียบขาว เปิดเผยว่า การทบทวนกำลังจะมาถึง แต่ไม่ได้ให้กรอบเวลาของการพิจารณาทบทวน หรือข้อมูลใดๆ ว่าใครจะเป็นแกนนำการประเมินใหม่ในความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบีย โดยเธอเพียงแต่บอกว่า "สหรัฐฯ จะจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในช่วงหลายสัปดาห์และหลายเดือนที่กำลังมาถึง"
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โอเปกพลัสแถลงแผนลดกำลังผลิตเพิ่มเติม แม้มีความพยายามล็อบบี้คัดค้านมาหลายสัปดาห์ หนึ่งในนั้นเป็นความพยายามโดยบรรดาเจ้าหน้าที่อเมริกา ทั้งนี้สหรัฐฯ กล่าวหาซาอุดีอาระเบียก้มหัวให้รัสเซีย ในขณะที่ตะวันตกกำลังกำหนดเพดานราคาน้ำมันรัสเซีย เพื่อตัดทอนรายได้ของมอสโก ลงโทษกรณีรุกรานยูเครน
บรรดาเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ พยายามอย่างเงียบๆ ในการโน้มน้าวพันธมิตรอาหรับยักษ์ใหญ่ที่สุดแห่งนี้ให้ปฏิเสธแนวคิดของการลดกำลังผลิต แต่มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ผู้ปกครองโดยพฤตินัยของซาอุดีอาระเบีย ไม่ไขว้เขว
เจ้าชายบิล ซัลมาน และไบเดน มีประเด็นกระทบกระทั่งกัน ระหว่างการเดินทางเยือนเมืองเจดดาห์ ของไบเดน ในเดือนกรกฎาคม เกี่ยวกับเหตุการตายของจามาล คาช็อกกี นักหนังสือพิมพ์ของวอชิงตันโพสต์ ในปี 2018
หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ระบุว่า มกุฎราชกุมารเป็นผู้อนุมัติปฏิบัติการจับกุมหรือสังหารคาช็อกกี คนวงในซาอุฯ แต่ผันตัวมาเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์ตัวยง ซึ่งถูกฆ่าหั่นศพโดยสายลับซาอุฯ ภายในสถานกงสุลซาอุดีอาระเบียประจำอิสตันบูล
มกุฎราชกุมาร พระโอรสของกษัตริย์ซัลมาน ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้สั่งฆ่า แต่ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นภายใต้การดูแลของพระองค์ ส่วน ไบเดน ได้บอกกับมกุฎราชกุมารไปว่าเขาคิดว่าเรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของพระองค์
จอห์น เคอร์บี โฆษกด้านความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว กล่าวว่า ไบเดน จะทำงานร่วมกับสภาคองเกรส "ในการคิดทบทวนโดยละเอียดรอบคอบ ว่าความสัมพันธ์ด้านใดบ้างที่ควรจะเดินหน้าต่อไป"
ด้าน เนด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุในวันอังคาร (11 ต.ค.) ว่าในการทบทวนครั้งนี้ รัฐบาลไบเดนจะไม่มองข้ามประเด็นเกี่ยวกับอิหร่าน ศัตรูของสหรัฐฯ และคู่อริในภูมิภาคของซาอุดีอาระเบีย "มีความท้าทายด้านความมั่นคงต่างๆ บางอย่างฟุ้งกระจายออกมาจากอิหร่าน แน่นอนว่า เราจะไม่ถอนสายตาออกจากภัยคุกคามจากอิหร่าน ที่ไม่ได้เป็นภัยคุกคามเฉพาะกับในภูมิภาคเท่านั้น แต่มันไกลกว่านั้น ในทางหนึ่งทางใด"
(ที่มา : รอยเตอร์)