รอยเตอร์ - อเมริกาประณามการยิงขีปนาวุธข้ามญี่ปุ่นของเกาหลีเหนือ “อันตรายและเลินเล่อ” พร้อมประกาศปกป้องเกาหลีใต้และญี่ปุ่นด้วยอำนาจทั้งหมดที่มี แต่สำทับว่า ยังพร้อมเจรจากับเปียงยาง
เอเดรียนน์ วัตสัน โฆษกหญิงของสภาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว แถลงว่า การกระทำดังกล่าวบ่อนทำลายเสถียรภาพและแสดงให้เห็นว่า เกาหลีเหนือไม่สนใจมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) รวมถึงบรรทัดฐานด้านความปลอดภัยสากล
วัตสันเสริมว่า เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ได้หารือกับเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เกี่ยวกับมาตรการรับมือร่วมกันและมาตรการรับมือของนานาชาติอย่างเหมาะสมและเข้มแข็ง
ซัลลิแวนย้ำความมุ่งมั่นของอเมริกาในการปกป้องญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และสำทับว่า วอชิงตันจะยังคงพยายามจำกัดความสามารถของเปียงยางในการเดินหน้าโครงการอาวุธต้องห้าม
ขีปนาวุธที่เกาหลีเหนือทดสอบ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่ยิงข้ามเกาะญี่ปุ่น ทำให้ญี่ปุ่นต้องออกคำเตือนประชาชนให้หาที่หลบภัยและระงับปฏิบัติการฝึกซ้อมทางด้านเหนือของประเทศเป็นการชั่วคราว
แดเนียล ไครเทนบริงก์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศด้านกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกของสหรัฐฯ กล่าวว่า จีนต้องลงมือทำมากขึ้นเพื่อจัดการการหลบเลี่ยงมาตรการแซงก์ชันของเกาหลีเหนือในเขตน่านน้ำของตน และเสริมว่า จีนและรัสเซียควรดำเนินการเพื่อยุติเครือข่ายการจัดซื้อจัดจ้างของเปียงยาง
ไครเทนบริงก์แจงว่า การที่จีนและรัสเซียไม่ปฏิบัติหน้าที่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ทำให้เกาหลีเหนือกล้าที่จะละเมิดมติของคณะมนตรีความมั่นคง ระเบียบโลก และกฎเกณฑ์การไม่แพร่กระจายอาวุธทั่วโลก
เขายังบอกอีกว่า การโน้มน้าวให้เปียงยางปลดอาวุธนิวเคลียร์ควรได้รับความร่วมมือจากจีน แต่มีผู้มีอำนาจบางคนในปักกิ่งต้องการใช้ประโยชน์จากประเด็นนี้ในการเป็นปฏิปักษ์เชิงกลยุทธ์ที่ครอบคลุมกว่ากับวอชิงตัน
เขาย้ำว่า วอชิงตันยังคงเปิดกว้างสำหรับการเจรจากับเกาหลีเหนือโดยปราศจากเงื่อนไข และเรียกร้องให้เปียงยางยึดมั่นในแนวทางการทูตอย่างจริงจังและยั่งยืน รวมทั้งละเว้นกิจกรรมที่บ่อนทำลายเสถียรภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ไครเทนบริงก์สำทับว่า คำตอบเดียวที่อเมริกาได้รับคือ การเพิ่มการทดสอบขีปนาวุธทิ้งตัวและการยั่วยุ ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ดีทั้งสำหรับเกาหลีเหนือและทั่วโลก
เขาย้ำการประเมินของอเมริกาว่า การฟื้นการทดสอบนิวเคลียร์ครั้งแรกนับจากปี 2017 ของเกาหลีเหนืออาจกำลังรอเพียงการอนุมัติทางการเมืองเท่านั้น และการกระทำที่อันตรายดังกล่าวจะทำให้สถานการณ์ลุกลามซึ่งคุกคามต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของภูมิภาคและทั่วโลกอย่างร้ายแรง
ไครเทนบริงก์ระบุว่า เพื่อประโยชน์ของนานาชาติ จำเป็นต้องทำให้แน่ใจว่า เกาหลีเหนือรับรู้ว่า การกระทำดังกล่าวจะถูกประณามอย่างเป็นเอกฉันท์ และการเจรจาเป็นวิธีเดียวที่จะนำไปสู่สันติภาพและเสถียรภาพระยะยาว
ไครเทนบริงก์ยืนยันว่า วอชิงตันจะตอบโต้อย่างเด็ดขาดต่อภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นของเกาหลีเหนือ และใช้มาตรการที่จำเป็นทั้งหมด ซึ่งเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบทั้งหมดของอำนาจของอเมริกา เพื่อปกป้องพันธมิตรตามสนธิสัญญาคือเกาหลีใต้และญี่ปุ่น และย้ำว่า ไม่ควรมีใครสงสัยในผลลัพธ์จากการดำเนินมาตรการแซงก์ชันและการใช้วิธีการต่างๆ เพื่อบังคับใช้มาตรการเหล่านั้นต่อเกาหลีเหนือ
อย่างไรก็ดี มาตรการแซงก์ชันที่มีอเมริกาเป็นหัวหอกไม่ได้ทำให้เกาหลีเหนือยอมวางมือจากโครงการขีปนาวุธและนิวเคลียร์ที่มีเทคนิคซับซ้อนมากขึ้น นอกจากนั้น คิม จอง-อึนยังไม่มีท่าทีสนใจฟื้นแนวทางการทูตแบบที่เคยดำเนินการร่วมกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของอเมริกาแต่อย่างใด