วิกฤตพลังงานในปัจจุบัน อาจกลายเป็นหนึ่งในวิกฤตครั้งเลวร้ายและยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะยุโรปที่อาจเจอผลกระทบหนักหนาสาหัส ถึงขั้นต้องปันส่วนกัน จากคำเตือนของฟาตีห์ ไบรอล ผู้อำนวยการบริหารของทบวงพลังงานสากล เมื่อวันอังคาร (31 พ.ค.)
ระหว่างให้สัมภาษณ์กับ Der Spiegel นิตยสารเยอรมนี ไบรอล ระบุว่าผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ ในยูเครน ดูเหมือนจะทำให้วิกฤตพลังงานในปัจจุบันเลวร้ายกว่าวิกฤตพลังงานในช่วงทศวรรษ 1970
"ย้อนกลับไปในตอนนั้น ทั้งหมดทั้งมวลมันเกี่ยวข้องกับน้ำมัน แต่ตอนนี้เรามีวิกฤตน้ำมัน วิกฤตก๊าซและวิกฤตไฟฟ้าในเวลาเดียวกัน" ไบรอลกล่าวกับ Der Spiegel พร้อมระบุว่าก่อนเกิดเหตุการณ์ในยูเครน "รัสเซียเป็นเสาหลักของระบบพลังงานโลก ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก ผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติรายที่สุดของโลก และผู้จัดหาอุปทานถ่านหินชั้นนำ"
ส่วนหนึ่งในมาตรการคว่ำบาตรที่กำหนดเล่นงานรัสเซียต่อกรณีรุกรานยูเครน อียูกำหนดข้อจำกัดสำหรับนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลของรัสเซีย และประกาศว่าจะค่อยๆ เลิกพึ่งพลังงานจากรัสเซียอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ไบรอล เตือนว่าประเทศต่างๆ ในยุโรปที่พึ่งพิงก๊าซธรรมชาติรัสเซียสูงลิ่ว อาจต้องเผชิญกับ "ฤดูหนาวที่ยากลำบาก" และ "อาจต้องมีการปันส่วนก๊าซ" ในนั้นรวมถึงเยอรมนี
ความคิดเห็นของเขามีขึ้นหลังจาก ก๊าซพรอม ผู้จัดหาก๊าซธรรมชาติแห่งรัฐรัสเซีย ตัดการส่งมอบอุปทานที่ป้อนแก่บริษัทพลังงานบางแห่งในเยอรมนี เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ และประเทศอื่นๆ หลังจากไม่ปฏิบัติตามเสียงเรียกร้องให้ขอให้ชำระค่าพลังงานเป็นสกุลเงินรูเบิล ตามข้อบังคับใหม่
ผู้อำนวยการบริหารของทบวงพลังงานสากล แนะนำว่าในความพยายามลดผลกระทบ ประเทศต่างๆ ในอียู ควรจัดหาก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ยกตัวอย่างเช่นก๊าซที่ทำเลียงผ่านท่อมาจากนอร์เวย์หรืออาเซอร์ไบจาน ในขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินควรถูกนำมาทดแทนโรงงานไฟฟ้าพลังงานก๊าซบางส่วน
ไบรอล เตือนว่ายุโรปและสหรัฐฯ อาจเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากแม้กระทั่งในช่วงฤดูร้อนที่กำลังมาถึง สืบเนื่องจากภาวะตึงตัวในตลาดน้ำมันดิบ พร้อมระบุว่าเมื่อฤดูกาลขับขี่เริ่มต้นขึ้น อุปสงค์จะพุ่งสูงขึ้น และนำมาซึ่งปัญหาคอขวดทางพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นดีเซล เบนซินหรือน้ำมันก๊าด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป
(ที่มา : อาร์ทีนิวส์)