(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
How a 1964 letter from China has helped prevent nuclear war
By NURY VITTACHI
19/05/2022
อาวุธนิวเคลียร์เป็นเพียง “เสือกระดาษ” ซึ่งเกิดขึ้นมาเพื่อการป้องกัน ไม่ใช่เพื่อใช้ในการโจมตีจริงๆ จดหมายในปี 1964 ของจีนระบุ และจวบจนถึงเวลานี้มันก็ยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ โดยที่ทุกๆ ฝ่ายในโลกต่างก็วาดหวังว่ามันจะยังคงเป็นอย่างนั้นต่อไปอีก
พวกนักวิทยาศาสตร์บอกว่า มนุษยชาติมีความสามารถที่จะหลีกเลี่ยงการทำลายล้างตัวเองในทางการทหาร แต่จะต้องพึ่งพายึดมั่นอยู่กับหลักการเพียงแค่ประการเดียวเท่านั้น นั่นคือ ประเทศต่างๆ ที่พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้แล้วต้องไม่ใช้มันเพื่อการรุกโจมตีคนอื่น ข้อนี้เป็นผลมาจากกติกาการตกลงกันอย่างไม่เป็นทางการ ที่รู้จักกันในชื่อว่า “ความพินาศย่อยยับซึ่งแน่ใจได้เลยว่าจะต้องเกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย” (mutually assured destruction หรือ MAD)
(ความพินาศย่อยยับซึ่งแน่ใจได้เลยว่าจะต้องเกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย mutually assured destruction หรือ MAD เป็นหลักการแห่งการป้องปราม ซึ่งวางอยู่บนความคิดที่ว่า เมื่ออภิมหาอำนาจรายหนึ่งเปิดการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ ก็จะเผชิญการตอบโต้กลับด้วยนิวเคลียร์อย่างรุนแรงยิ่ง จนกระทั่งทั้งฝ่ายโจมตีและฝ่ายป้องกันจะเสียหายย่อยยับไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.britannica.com/topic/mutual-assured-destruction -ผู้แปล)
อย่างไรก็ดี บางทีสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งกว่าเสียอีกก็คือ นโยบาย “ไม่ใช้นิวเคลียร์ก่อน” (No First Use) ซึ่งเป็นการให้คำรับรองว่า การที่มหาอำนาจผู้ติดอาวุธนิวเคลียร์รายหนึ่งพูดว่า ใช้อาวุธนิวเคลียร์ “เพื่อการป้องกัน” ก็หมายถึงเพื่อการป้องกันอย่างแท้จริง แทนที่จะเป็นคำพูดเพื่อสร้างม่านควันปกปิดการพัฒนาทางทหารแบบนักลัทธิขยายอาณาเขต กระนั้นก็ตาม น้อยคนนักที่ทราบประวัติความเป็นมาอันพิเศษผิดธรรมดาของนโยบายข้อนี้ ตลอดจนมีมหาอำนาจรายใดบ้างสนับสนุน และรายใดบ้างปฏิเสธไม่เอาด้วย
(ไม่ใช้นิวเคลียร์ก่อน หรือ No First Use คือคำมั่นสัญญาหรือนโยบายของมหาอำนาจนิวเคลียร์ ที่ว่าตนจะไม่เป็นคนแรกที่เริ่มใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อเป็นเครื่องมือในการทำสงคราม แต่จะใช้เมื่อถูกโจมตีก่อนจากข้าศึกที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/No_first_use#:~:text=No%20first%20use%20(NFU)%20is,the%20NFU%20policy%20of%20India. -ผู้แปล)
หลักการ “ไม่ใช้นิวเคลียร์ก่อน” เสนอขึ้นมาทีแรกสุดโดยประเทศจีนเมื่อปี 1964 และนับจากนั้นมาก็เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่า เป็นหลักหมุดที่สำคัญมากซึ่งหากมนุษยชาติต้องการอนาคตอันปราศจากสงครามก็จะต้องพยายามพึ่งพิงยึดโยงเอาไว้ ทั้งนี้ จีนมีสมรรถนะทางด้านอาวุธนิวเคลียร์ในปีดังกล่าว แต่แทนที่จะเรียกร้องให้มหาอำนาจนิวเคลียร์ทุกๆ รายเข้าร่วมทำความตกลงกันใช้หลักการข้อนี้ อย่างที่มีบางคนบางฝ่ายเสนอแนะในเวลานั้น คณะผู้นำจีนกลับใช้วิธีการง่ายๆ ด้วยการเขียนจดหมายฉบับพิเศษเหนือล้ำกว่าธรรมดาจ่าหน้าส่งถึงประชาคมโลก
จดหมายฉบับนี้ที่ใช้ชื่อว่า “คำแถลงของรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน” และลงวันที่ 16 ตุลาคม 1964 ไม่ได้มีลักษณะเป็นคำแถลงแบบมีการไล่เรียงประเด็น 1-2-3 ให้เห็นชัดๆ และมีเนื้อความรอบคอบรัดกุมชนิดที่เขียนโดยพวกนักกฎหมายตามปกติอย่างที่ผู้คนต้องคาดหมายว่าจะปรากฏให้เห็นในคำประกาศหรือปฏิญญาระหว่างประเทศทั้งหลาย แต่มันกลับเป็นสารที่ออกจะมีเนื้อหากระจัดระจายแต่มุ่งระบุประเด็นสำคัญที่ว่า ทุกๆ ชาติย่อมมีสิทธิในการป้องกันตนเองด้วยอาวุธ ทว่าอาวุธนิวเคลียร์เป็นสิ่งที่แตกต่างออกไป
อาวุธนิวเคลียร์คือ “เสือกระดาษ” ซึ่งเกิดขึ้นมาเพื่อการป้องปราม ไม่ใช่เพื่อเอาไว้ใช้ในการโจมตีกันจริงๆ จดหมายนี้ระบุ และกล่าวต่อไปว่า อาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดจะค่อยๆ หดหายไปอย่างแน่นอนในเวลาที่มนุษยชาติได้เรียนรู้ถึงการใช้ชีวิตอยู่ในสันติภาพ อาวุธนิวเคลียร์นั้น “สร้างขึ้นโดยมนุษย์” และ “จะถูกกำจัดทิ้งไปโดยมนุษย์อย่างแน่นอน” จดหมายนี้บอก
แต่จดหมายฉบับนี้ยังส่งข้อความที่เป็นการสร้างยุคสมัยขึ้นมาอีกด้วย โดยบอกว่าในเมื่อทุกๆ ชาติซึ่งครอบครองอาวุธชนิดนี้ต่างอ้างว่าพวกเขามีไว้เพื่อการป้องกันเท่านั้น พวกเขาก็ควรที่จะประกาศออกมาอย่างง่ายๆ ธรรมดาว่า พวกเขาจะไม่มีวันเป็นคนแรกที่ใช้มันก่อน นี่เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทำให้ประชาชนของพื้นพิภพนี้มีความปลอดภัย
เราจะเดินหน้าในเรื่องนี้เป็นคนแรกเลย ฝ่ายจีนบอก ประโยคสำคัญที่สุดซึ่งพวกเขาเขียนเอาไว้ มีเนื้อความดังนี้ : “รัฐบาลจีนจึงขอประกาศอย่างหนักแน่นจริงจังในที่นี้ว่า ไม่ว่าในเวลาใดและไม่ว่าอยู่ใต้สถานการณ์อย่างไร จีนจะไม่เป็นคนแรกที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์”
แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นล่ะ? ทุกๆ คนต่างยอมรับหลักเหตุผลของหลักการเพื่อการป้องปรามข้อนี้ – แต่กลับพิจารณาไปในอีกทางหนึ่ง แทนที่จะเจริญรอยตามด้วยการให้คำมั่นสัญญาในทำนองเดียวกันของตนเอง
ตั้งแต่นั้นมา ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดของโลกแห่งนี้ มีการประกาศย้ำยืนยันจุดยืนการไม่เป็นฝ่ายใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อนของตนอยู่เป็นประจำในตลอดช่วงเวลา 4 ทศวรรษที่ผ่านมา เพื่อเป็นการเน้นหลักการ “การป้องกันหมายความว่าเป็นการป้องกันจริงๆ” ข้อนี้ ทว่าประเทศอื่นๆ แทบทั้งหมดเลยยังคงเอานิ้วมืออุดหูของตนเองเอาไว้อย่างเหนียวแน่น การประกาศย้ำยืนยันของจีนว่ายึดมั่นในหลักการนี้ (เป็นต้นว่าในปี 2005, 2008, 2009 และ 2011) ผ่านพ้นไปโดยส่วนใหญ่แล้วสื่อมวลชนระหว่างประเทศไม่ได้มีการรายงานข่าวเอาไว้ด้วยซ้ำ
สาธารณชน VS รัฐบาล
ในช่วงหลายสิบปีภายหลังจีนเสนอเรื่องนี้ออกมา รัสเซียกับสหรัฐอเมริกายังคงพัวพันยุ่งขิงอยู่กับการแข่งขันด้านอาวุธ โดยมีการพัฒนาหัวรบนิวเคลียร์ขึ้นมาจำนวนเป็นพันๆ หัวรบ และหลีกเลี่ยงไม่ยอมให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ใช้มันในทางรุกโจมตีคนอื่น กระนั้นก็ตาม ชาติเหล่านี้ยังคงพยายามวาดภาพให้เห็นว่า สมรรถนะนิวเคลียร์ทางทหารของพวกตนมีไว้ “เพื่อการป้องกัน”
ในอีกด้านหนึ่ง กล่าวโดยภาพรวมๆ แล้ว เราสามารถมองเห็นได้ว่าหลักการข้อนี้ของจีนได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากกลุ่มสาธารณชนกลุ่มต่างๆ ทั่วโลก ทว่าถูกต่อต้านจากรัฐบาลทั้งหลาย ทั้งนี้ มีข้อยกเว้นเพียงกรณีเดียวเท่านั้น
นั่นคืออินเดียได้เจริญรอยตามในปี 1998 ด้วยการประกาศนโยบายไม่เป็นฝ่ายใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน ในขณะที่แดนภารตะเริ่มต้นการสร้างสมรรถนะนิวเคลียร์ทางทหารของตนเองขึ้นมา ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 จึงบังเกิดความหวังกันว่าพวกมหาอำนาจนิวเคลียร์รายอื่นๆ ของโลกจะเดินตามการนำของยักษ์ใหญ่เอเชีย 2 รายนี้ แต่แล้วความวาดหวังดังกล่าวก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
เล่นเกมอย่างฉลาด
สหรัฐฯ เป็นผู้ที่เล่นเกมแห่งความก้าวร้าวนี้อย่างฉลาดยอดเยี่ยมสุดๆ ประเทศนี้มีคลังแสงหัวรบนิวเคลียร์ขนาดใหญ่มหึมา (จำนวนต่ำกว่า 6,000 หัวรบนิดเดียว) แต่จะคอยรักษาจำนวนของฝ่ายตนให้ต่ำกว่านิดหน่อยจากจำนวนซึ่งว่ากันว่า สหภาพโซเวียต/รัสเซีย มีอยู่ (จำนวนมากกว่า 6,000 หัวรบนิดหน่อย) เรื่องนี้เปิดทางให้กลุ่มผลประโยชน์ด้านการทหาร-ด้านอุตสาหกรรมที่พัวพันกันเหนียวแน่นลึกซึ้งของสหรัฐฯ คอยเรียกร้องขอเงินงบประมาณแผ่นดินเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
ทว่าในเวลาเดียวกันนั้น สหรัฐฯ โดยผ่านองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) ที่ตนเองครอบงำอยู่ ยังคงสามารถเข้าถึงหัวรบนิวเคลียร์ซึ่งใช้งานได้และได้รับการดูแลรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี ในจำนวนที่รวมกันแล้วมากกว่าของมอสโก
ขณะเดียวกัน กลุ่มสาธารณชนต่อต้านสงครามกลุ่มต่างๆ ในตลอดทั่วโลก รวมทั้งในชาติตะวันตกด้วย ก็ได้ออกมาเรียกร้องรัฐบาลของพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าให้กระทำตามสิ่งที่จีน-อินเดียกระทำไปก่อนแล้ว ในปี 1999 ไม่นานนักหลังจาก อินเดีย เข้าร่วมอยู่ในจุดยืนเดียวกันกับจีน เยอรมนีได้เรียกร้องอย่างเป็นทางการให้บรรดาชาติพันธมิตรนาโต้ของตนประกาศใช้นโยบายไม่เป็นฝ่ายเริ่มใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อนเช่นกัน แต่บรรดาชาติหุ้นส่วนรายอื่นๆ ยังคงกระทำตามการบอกบทของพวกชาติหุ้นส่วนรายที่แข็งแรงที่สุดขององค์การนี้ และปฏิเสธไม่เอาด้วย
บางประเทศ (รัสเซีย ปากีสถาน สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส) กล่าวย้ำในเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรว่า พวกเขาจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ของตนเองก็ต่อเมื่อเป็นการตอบโต้การถูกโจมตีหรือการถูกรุกราน อย่างไรก็ดี คำแถลงเหล่านี้ไม่ได้มีการระบุอย่างเจาะจงว่าต้องเป็นกรณีการถูกโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงทำให้ตนเองมีสิทธิที่จะจำกัดความว่าอะไรที่อาจถือได้ว่าเป็นการถูกโจมตี ซึ่งพวกเขาจะตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกเขาสามารถที่จะประกาศออกมาง่ายๆ ว่า เกิดการล่วงล้ำบางอย่างบางประการขึ้นมาแล้ว – ตัวอย่างเช่น มีการโจมตีทางไซเบอร์ต่อชาติสมาชิกนาโต้รายหนึ่ง และจากนั้นก็รู้สึกมีเสรีภาพที่จะ “ถล่มนุก” เข้าใส่ประชาชนที่พวกเขามุ่งหมายจะประณาม
การยกเว้นเป็นบางส่วน
นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งอยู่ในข่ายที่ว่า เมื่อมีการยกเว้นเป็นบางส่วน มันก็ทำให้ทั้งหมดไม่มีคุณค่าอะไรเลย อย่างการที่สหรัฐฯ รัสเซีย ยังคงปฏิเสธไม่ยอมเข้าร่วมประกาศยึดมั่นปฏิบัติตามหลักการไม่เป็นฝ่ายที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน อย่างไรก็ดี ต้องชี้เอาไว้ด้วยว่าในกรณีของมอสโกนั้น พวกเขามีการลงนามในข้อตกลงไม่เป็นฝ่ายใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อนแบบทวิภาคีกับจีน เรื่องนี้จึงเป็นการรับประกันว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ๆ ทางซีกตะวันออกของมหาทวีปยูเรเชีย น่าที่จะยังคงปลอดจากสงครามระดับถล่มกันด้วยนิวเคลียร์มากกว่าพื้นที่อื่นๆ ในโลก
ในประเทศจีน มีนักยุทธศาสตร์การทหารบางรายแสดงความกังวลว่า จากการที่ประเทศของพวกเขาประกาศยึดมั่นในจุดยืนทางหลักการซึ่งส่วนอื่นๆ ของโลกโดยส่วนใหญ่พากันละเลยเพิกเฉย จะกลายเป็นทำให้ตนเองอยู่ในฐานะเสียเปรียบหรือไม่ แต่คนอื่นๆ โต้แย้งว่ามันยังคงมีคุณค่าที่จะธำรงรักษาเอาไว้ นโยบายไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน แสดงให้เห็นว่าการดำเนินการในเรื่องการป้องกันของจีนนั้นมุ่งเพื่อการป้องกันเป็นหลักจริงๆ และยังช่วยเสริมส่งเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่ยุทธศาสตร์โดยรวมในเรื่อง “การก้าวผงาดขึ้นมาอย่างสันติ” ของจีนอีกด้วย
จีนจะยังคงยึดมั่นปฏิบัติตามต่อไปหรือไม่?
ว่าแต่ว่าจีนจะทำตามคำมั่นสัญญาของตนหรือไม่? ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ชี้ว่าจีนจะไม่ทำ และประเทศนี้ยังสาธิตให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ได้มีความโน้มเอียงที่จะเข้าสู่สงครามซึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่ห่างไกลจากบ้านของตนเอง
กระนั้นก็ตาม ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่มีการเคลื่อนไหวแบบยั่วยุเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในไต้หวันเพื่อยั่วแหย่ให้จีนดำเนินการตอบโต้ทางการทหารนั้น ถือเป็นเรื่องที่น่าวิตก หลายๆ คนหลายๆ ฝ่ายกลัวว่าสหรัฐฯ จะเรียกร้องให้พวกผู้สนับสนุนของตนในไต้หวันประกาศเอกราช ซึ่งจะเป็นการบังคับให้จีนต้องมีความเคลื่อนไหวในทางก้าวร้าวขึ้นมา
เหตุผลสำหรับการมองโลกในแง่ดี
กระนั้น ยังคงมีเหตุผลที่ทำให้เรามองโลกในแง่ดีได้อยู่ 2 ประการด้วยกัน ประการแรก แม้กระทั่งถ้าหากสหรัฐฯ พยายามจดชนวนให้เกิดการปะทะกันในเรื่องไต้หวันขึ้นมาได้จริงๆ จีนก็ยังคงไม่น่าเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ในดินแดนหรือในน่านน้ำของตนเอง
ประการที่สอง จีนเพิ่งแสดงออกให้เห็นถึงการมีความอดทนอดกลั้นในระดับที่น่าประทับใจ กล่าวคือ ระหว่างระยะเวลา 8 เดือนของการจลาจลต่อต้านจีนอย่างรุนแรงเมื่อปี 2019 ในฮ่องกงนั้น ปักกิ่งสามารถต้านทานความยั่วยวนที่จะใช้กำลังทหารของตนเข้าไปแทรกแซง ถึงแม้จีนมีค่ายทหารแห่งใหญ่ตั้งอยู่ตรงตำแหน่งที่เรียกได้ว่าอยู่ประตูถัดไปจากอาคารนิติบัญญัติของรัฐบาลฮ่องกงที่ถูกพวกก่อจลาจลปิดล้อมเอาไว้
ระดับของความอดทนอดกลั้นเป็นพิเศษเช่นนี้ ปรากฏขึ้นมาอย่างชนิดสร้างความประหลาดใจให้แก่พวกนักยุทธศาสตร์ (และแน่นอนทีเดียวว่าสร้างความผิดหวังให้แก่พวกมหาอำนาจตะวันตก) ความรุนแรงในฮ่องกงส่วนใหญ่แล้วอยู่ในกระแสขาลงเมื่อถึงช่วงสิ้นปีนั้นโดยที่ไม่ได้มีการเข้าไปพัวพันเกี่ยวข้องไม่ว่าในแบบใดจากจีนแผ่นดินใหญ่ ดูเหมือนว่า ความอดทนอดกลั้นเป็นอาวุธที่ทรงอำนาจอย่างไม่ธรรมดาจริงๆ
แล้วเราจะสรุปว่ายังไง? มันไม่มีหลักประกันใดๆ ในชีวิตหรอก กระนั้น จากการที่จีน อินเดีย และรัสเซียต่างมีการลงนามรับรองนโยบายไม่เป็นฝ่ายใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อนอย่างน้อยที่สุดก็ภายในภูมิภาคนี้ พลเมืองของเอเชียตะวันออกโดยเฉลี่ยก็น่าที่จะมีเหตุผลอันดีที่จะมีความรู้สึกว่าปลอดภัยกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมโลกของพวกเขาหรือเธอในดินแดนอื่นๆ บนพื้นพิภพแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป
เมื่อพิจารณากันในแง่ชัยชนะทางศีลธรรม พวกคนจีนที่เป็นผู้เขียนจดหมายฉบับปี 1964 คือผู้ชนะในสมรภูมิดังกล่าวตั้งแต่เมื่อ 48 ปีที่แล้ว ทว่าสมมติฐานของพวกเขาที่ว่าพวกมหาอำนาจตะวันตกและรัสเซียจะเจริญรอยตามนั้นเป็นความคิดเห็นแบบนักอุดมคติเกินไป กระนั้นก็ตาม หลักการของการไม่เป็นฝ่ายใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน ถึงแม้ว่าประเทศส่วนใหญ่ของโลกยังไม่ได้ประกาศว่าเอาด้วย แต่ก็ยังคงกระทำตามกันอยู่ในทางปฏิบัติ อย่างน้อยก็จวบจนถึงเวลานี้
เสือแห่งอาวุธนิวเคลียร์ เท่าที่มองเห็นกันจนถึงขณะนี้ได้กลายเป็นเสือที่ทำด้วยกระดาษจริงๆ นั่นแหละ และแน่นอนว่าทุกๆ ฝ่ายเลยต่างวาดหวังเอาไว้ว่ามันจะยังคงเป็นเช่นนั้นต่อไปอีก
นูริ วิตตาชิ เป็นบรรณาธิการบริหารจัดการของ Fridayeveryday สิ่งพิมพ์ว่าด้วยวัฒนธรรมจีนซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ในฮ่องกง ก่อนหน้านั้น เขาเคยเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการอยู่ที่เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ และที่ฟาร์อีสเทิร์นอีโคโนมิกรีวิว