องค์การอนามัยโลก (WHO) กำลังรวบรวมหลักฐานสำหรับการสืบสวนความเป็นไปได้ของการก่ออาชญากรรมสงคราม ท่ามกลางคำกล่าวอ้างว่าพวกเขามีหลักฐานว่ารัสเซียโจมตีสถานพยาบาลต่างๆ ในยูเครน
นายแพทย์ไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายโครงการฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก เดินทางเยือนกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า พร้อมกับ ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก และได้แถลงข่าวในวันเสาร์ (8 พ.ค.) ระบุว่า มันเป็นความรับผิดชอบอย่างโจ่งแจ้งของคู่สงครามที่ต้องหลีกเลี่ยงโจมตีสถานพยาบาลต่างๆ และเวลานี้องค์การอนามัยโลกมี 200 หลักฐานของการโจมตีโรงพยาบาลและสถานคลินิกต่างๆ ในยูเครน
"การโจมตีโดยตั้งใจใส่สถานพยาบาลละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และการกระทำดังกล่าว บนพื้นฐานจากการสืบสวนและสิ่งบ่งชี้ของการโจมตี มันเป็นตัวแทนของการก่ออาชญากรรมสงคราม ไม่ว่าจะสถานการณ์ใดๆ" ไรอันกล่าว "เราจะเดินหน้ารวบรวมหลักฐานและรับฟังพยานของเหตุโจมตีเหล่านี้ และเราเชื่อมั่นว่าระบบของสหประชาชาติและศาลอาญาระหว่างประเทศ รวมถึงอื่นๆ จะรับหน้าที่สืบสวนที่จำเป็น เพื่อประเมินเจตนาทางอาญาที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีเหล่านี้"
รัสเซียปฏิเสธคำกล่าวหาของตะวันตกและยูเครน เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการก่ออาชญากรรมสงคราม และปฏิเสธด้วยว่าพวกเขาไม่ได้เล็งเป้าหมายเล่นงานพลเรือน
ไรอัน บอกว่าทั้ง 200 กรณีนี้ไม่เป็นตัวแทนของเหตุโจมตีทั้งหมดต่อสถานพยาบาลในยูเครน โดยเหล่านี้เป็นเพียงส่วนที่ทางองค์การอนามัยโลกตรวจสอบเท่านั้น ในขณะที่เคียฟอ้างว่ามีสถานพยาบาลราวๆ 400 แห่งที่ถูกโจมตี นับตั้งแต่รัสเซียยกพลรุกรานยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์
ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน บอกในวันพฤหัสบดี (5 พ.ค.) ว่าทหารรัสเซียทำลายหรือสร้างความเสียหายแก่สถาบันทางสุขภาพเกือบ 400 แห่งในยูเครน และในการแถลงข่าวเดียวกันนี้ ทาง ทีโดรส ระบุว่า "สารของผมที่ส่งถึงประชาชนชาวยูเครนทุกคนก็คือ องค์การอนามัยโลกยืนหยัดอยู่เคียงข้างคุณ เราจะเดินหน้าเรียกร้องสหพันธรัฐรัสเซียให้หยุดสงครามนี้"
รัฐสมาชิกองค์การอนามัยโลกในวันอังคาร (10 พ.ค.) จะพิจารณาญัตติหนึ่งที่ดำเนินการกับรัสเซีย ในนั้นรวมถึงการปิดสำนักงานประจำภูมิภาคในมอสโก
อย่างไรก็ตาม ร่างญัตติดังกล่าวไม่ได้พาดพิงถึงมาตรการเล่นงานรัสเซียหนักหน่วงกว่านี้ ในนั้นรวมถึงระบบรัสเซียจากการเป็นคณะกรรมการขององค์การอนามัยโลก เช่นเดียวกับระงับสิทธิในการออกเสียงของพวกเขา จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวด้านการทูตและทางการเมือง
ร่างญัตติดังกล่าวมีขึ้นตามหลังการยื่นคำร้องของยูเครนที่มีรัฐสมาชิกอย่างน้อย 38 ชาติ ร่วมลงนาม ในนั้นรวมถึงตุรกี ฝรั่งเศส และเยอรมนี ขณะที่ร่างญัตตินี้ตระเตรียมโดยบรรดาผู้แทนทูตของอียู และถูกยื่นต่อสำนักงานประจำภูมิภาคยุโรปขององค์การอนามัยโลกเมื่อช่วงกลางสัปดาห์
(ที่มา : รอยเตอร์)
