Fake news in Kiev heralds cruel April
BY M. K. BHADRAKUMAR
04/04/22
ข่าวเรื่องกองทัพรัสเซียกระทำการโหดร้ายทารุณต่างๆ ที่เมืองบูชา ปรากฏขึ้นในห้วงเวลาเดียวกับที่การปฏิบัติการพิเศษของรัสเซียในระยะที่สอง กำหนดเริ่มต้นขึ้นในภูมิภาคดอนบาสส์ ทางภาคตะวันออกของยูเครน โดยที่นั่นกองทหารยูเครนจำนวนราวๆ 60,000-80,000 คน ซึ่งได้รับการจัดระดับว่าเป็นหน่วยทหารชั้นเลิศที่สุดของกองทัพนี้กำลังถูกโอบล้อมเอาไว้
มอสโกที่อยู่ในอาการเดือดาลออกมาเรียกร้องอย่างโกรธเกรี้ยวให้เปิดการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเมื่อวันจันทร์ (4 เม.ย.) เพื่อพิจารณาข้อกล่าวหาที่ว่ากองทหารรัสเซียกระทำการโหดร้ายป่าเถื่อนต่างๆ ในพื้นที่รอบๆ กรุงเคียฟในช่วงเดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ จากหลักฐานต่างๆ มีมูลที่เชื่อได้ว่าการกล่าวหานี้เป็นการปล่อยข่าวปลอม แต่มันยังคงสามารถกลายเป็นแม่พิมพ์สำหรับการสร้างความรับรู้ความเข้าใจที่ผิดต่างๆ ขึ้นมามากมาย กว่าจะถึงเวลาที่มันถูกเปิดโปงให้เห็นกันได้ว่าเป็นข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จ
(ดูเพิ่มเติม ข้อกล่าวหาต่อกองทหารรัสเซียนี้ได้ที่ https://www.thehindu.com/news/international/ukraine-calls-bucha-killings-a-massacre/article65287255.ece?homepage=true)
รายงานชิ้นหนึ่งของสำนักข่าวทาสส์ของทางการรัสเซียพูดเอาไว้ดังนี้ : “กระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงในวันอาทิตย์ (3 เม.ย.) ว่า กองทัพรัสเซียได้ถอนตัวออกจากเมืองบูชา ซึ่งตั้งอยู่ในแคว้นเคียฟ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ขณะที่ “หลักฐานของอาชญากรรมต่างๆ” (ตามที่กล่าวหากัน) กว่าจะปรากฏขึ้นมาก็หลังจากนั้น 4 วัน ภายหลังที่พวกเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงของยูเครนไปถึงเมืองเล็กๆ แห่งนั้นแล้ว กระทรวงกลาโหมรัสเซียเน้นย้ำด้วยว่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคม อนาโตลี เฟโดรุค (Anatoly Fedoruk) นายกเทศมนตรีของเมืองบูชา ได้กล่าวยืนยันในการปราศรัยผ่านทางวิดีโอว่า ไม่มีทหารรัสเซียใดๆ อยู่ในเมืองบูชาแล้ว อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเขากลับไม่ได้พูดแม้สักคำเดียวเกี่ยวกับเรื่องมีพลเรือนถูกยิงตายทิ้งเอาไว้ตามท้องถนนในสภาพที่มือของพวกเขาถูกมัดเอาไว้ด้านหลังของพวกเขา”
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://tass.com/politics/1431813)
สิ่งที่ชวนให้เซอร์ไพรสฺมากกว่านี้อีกก็คือว่า ภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังจากข่าวนี้ได้รับการรายงานเผยแพร่ออกไปเป็นครั้งแรกๆ (breaking news) พวกผู้นำของฝ่ายตะวันตก --ทั้งระดับประมุขแห่งรัฐ รัฐมนตรีต่างประเทศ อดีตนักการเมือง ต่างพากันออกคำแถลงต่างๆ ออกมาราวกับเตรียมการเอาไว้แล้วอย่างเหมาะเหม็ง โดยที่เพียงแค่อิงอาศัยคลิปวิดีโอ ซึ่งป็นวิดีโอความยาวไม่กี่วินาที ตลอดจนภาพถ่ายจำนวนหนึ่ง ก็พร้อมแล้วที่จะปล่อยข้อกล่าวหา (รัสเซีย) ออกมาแบบทะลักทลาย ไม่ได้มีการสอบถามข้อความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญใดๆ ทั้งนั้น ไม่ได้มีการทำงานด้านนิติเวชใดๆ เลย ไม่ได้มีการให้โอกาสแก่ผู้ถูกกล่าวหาที่จะพูดแก้ต่าง
ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ตัดสินใจผละออกจากการรณรงค์หาเสียงให้ได้รับเลือกตั้งต่ออีกสมัยหนึ่งในการหย่อนบัตรลงคะแนนที่จะมีขึ้นวันอาทิตย์ (10 เม.ย.) นี้ ซึ่งเขาต้องต่อสู้กับ มารีน เลอ เปน (Marine Le Pen) อย่างชนิดหืดขึ้นคอ เพื่อจะได้ประทับตราเป็น “อาชญากรรมสงคราม” สำทับใส่การกล่าวหารัสเซียกระทำการโหดร้ายทารุณต่างๆ นานาเหล่านี้ เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรี โอลาฟ ชอลซ์ ของเยอรมนี ผู้ซึ่งกำลังตกอยู่ในความลำบากมากๆ เหมือนกัน เนื่องจากเยอรมนีเผชิญอัตราเงินเฟ้อในระดับ 7.3% ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรสำหรับการที่พวกนักการเมืองผู้ประสบความยากลำบากจะพยายามไขว่คว้าหาปีศาจร้ายมาวิพากษ์ติเตียนเพื่อหันเหความสนใจของสาธารณชน บุคคลผู้มีความเฉลียวฉลาดเฉกเช่น มาครง และชอลซ์ ต้องกำลังเกิดความตระหนักขึ้นมาแล้วในตอนนี้ว่า นโยบายผิดพลาดต่างๆ ของพวกเขากำลังนำไปสู่ความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ขนาดมโหฬารอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ด้วยน้ำมือของรัสเซีย แต่คำถามใหญ่ยังคงมีอยู่ว่า ทำไมจึงเกิดการประโคมเรื่องชวนตื่นตาตื่นใจเช่นนี้ขึ้นมาในจังหวะเวลานี้?
ข่าวปลอมนี้ปรากฏขึ้นในห้วงเวลาเดียวกับที่การปฏิบัติการพิเศษของรัสเซียในระยะที่สอง ถูกกำหนดเอาไว้ให้เริ่มต้นขึ้นภายในสัปดาห์นี้ในภูมิภาคดอนบาสส์ ทางภาคตะวันออกของยูเครน โดยที่นั่นกองทหารยูเครนจำนวนราวๆ 60,000-80,000 คน ซึ่งได้รับการจัดระดับว่าเป็นหน่วยทหารชั้นเลิศที่สุดของกองทัพนี้ กำลังถูกโอบล้อมเอาไว้
กลลวงทำท่าเข้าโจมตีของฝ่ายรัสเซีย บังเกิดผลเป็นการตรึงกำลังทหารจำนวนหนึ่งของฝ่ายยูเครนเอาไว้ให้ต้องคอยระวังเฝ้ารักษากรุงเคียฟเอาไว้ตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมา เมื่อถึงเวลาที่ความจริงส่องสว่างเรืองๆ ให้ฝ่ายเคียฟ (รวมทั้ง “พวกที่ปรึกษา” ฝ่ายตะวันตกของพวกเขา) มองเห็นการจัดฉากคราวนี้ ความเสียหายก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ทั้งนี้สถานการณ์ซึ่งเป็นผลลัพธ์ออกมานั้นมีความใหญ่โตซับซ้อนอยู่มาก จำเป็นต้องอธิบายขยายความกันบางอย่างบางประการ
(กลลวงของฝ่ายรัสเซียซึ่งฝ่ายตะวันตกอ่านไม่ออกนี้ ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.bbc.com/news/world-europe-60596629)
ข้างบนนี้เป็นแผนที่ซึ่งทำสำเนามาจากของสำนักข่าวโนวอสตี (Novosti) ของทางการรัสเซีย (โชคร้ายหน่อย ตัวหนังสือในแผนที่นี้เป็นภาษารัสเซีย) ว่าด้วยสถานการณ์ภาคพื้นดินจริงๆ ณ วันที่ 3 เมษายน และบทวิจารณ์ของอีวาน อันดรีฟ (Ivan Andreev) ผู้สื่อข่าวสงครามประสบการณ์สูงซึ่งเคยทำข่าวการปฏิบัติการต่างๆ ของรัสเซียในซีเรียมาแล้ว ชี้ให้เห็น “บริเวณนูนเด่น” (salience) ของ “กาต้มน้ำ” (cauldron) ในดอนบาสส์ ซึ่งกองกำลังอาวุธชั้นยอดเยี่ยมที่สุดของยูเครนจำนวนหลายกองพลกำลังติดกับอยู่ กำลังถูกกองกำลังอาวุธของฝ่ายศัตรูตัดขาดให้โดดเดี่ยวจากฐานส่งกำลังบำรุงของพวกเขา และตัดขาดจากกองกำลังอาวุธอื่นๆ ที่เป็นเพื่อนมิตรของพวกเขา
(“บริเวณนูนเด่น” (salience หรือ bulge) ของ “กาต้มน้ำ” (cauldron หรือ kettle) ตลอดจน “pocket” เป็นศัพท์ทางการทหารที่ใช้กันในการสู้รบที่มุ่งล่อให้กองกำลังข้าศึกเข้าไปอยู่ในพื้นที่ซึ่งเตรียมไว้ แล้วเข้าปิดล้อมและทำลาย ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Pocket_(military) และ https://en.wikipedia.org/wiki/Salient_(military -ผู้แปล)
พื้นที่ “กาต้มน้ำ” ใบนี้มีขนาดใหญ่ทีเดียว ซึ่งในแผนที่คือบริเวณที่ใช้สีฟ้ามีขีดทะแยงสีดำ อยู่ตรงส่วนด้านบนของภูมิภาคดอนบาสส์ ในทิศทางของเมืองคาร์คิฟ (Kharkiv) ขบวนทัพขนาดมหึมาของรัสเซียที่ถอยออกจากแคว้นเคียฟเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน กำลังเคลื่อนพลเป็นวงเส้นโค้งใหญ่มุ่งมายังกาต้มน้ำนี้ โดยเดินทัพข้ามทั้งเมืองเชอร์นิฮิฟ (Chernihiv) ในภาคเหนือของยูเครน และเมืองซูมี (Sumy) กับเมืองคาร์คิฟ (ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ชายแดนรัสเซียในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครน)
กองกำลังอาวุธยูเครนที่ถูกโอบล้อมเหล่านี้ ประกอบด้วยอาวุธชั้นดี และสร้างปราการเครื่องป้องกันพวกเขาเองเอาไว้อย่างเต็มที่ ทว่าไม่สามารถที่จะหลบหนีออกจากกับดักได้ ขณะเดียวกัน มันก็เป็นไปไม่ได้สำหรับกรุงเคียฟที่จะส่งกำลังหนุนเข้ามาช่วย เนื่องจากภูมิประเทศแถบชนบทที่อยู่ทางตะวันตกออกไป (ตลอดทางจนจดแม่น้ำดนิเปอร์ Dniepr River) ส่วนใหญ่ประกอบด้วยพวกท้องทุ่งเกษตรกรรมเปิดโล่งกว้าง มิหนำซ้ำฝ่ายรัสเซียยังครองความเหนือกว่าอย่างเด็ดขาดในเรื่องกำลังทางอากาศ และเป็นไปไม่ได้ที่จะการเคลื่อนไหวของข้าศึกใดๆ จะสามารถอำพรางหลบซ่อนจากการจับตาตรวจการณ์อย่างไม่หยุดหย่อนของฝ่ายแดนหมีขาวได้
กองกำลังฝ่ายรัสเซียยังทำให้สนามบินที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนี้ทั้งหมดอยู่ในสภาพใช้การไม่ได้ รวมทั้งทำลายคลังน้ำมันของฝ่ายยูเครนที่อยู่ใกล้ๆ อย่างเป็นระบบตั้งแต่ช่วงระยะที่หนึ่งของการปฏิบัติการ อย่างที่ผมได้เขียนเอาไว้ในบล็อกนี้ก่อนหน้านี้ เมื่อ 3 วันที่แล้ว กองทหารรัสเซียได้ดำเนินการถล่มโจมตีอย่างชนิดทำลายล้าง ดังนี้ “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สนามบินทหาร มีร์โกร็อด (Mirgorod) ในแคว้นโปลตาวา (Poltava) ที่อยู่ทางภาคกลางของยูเครน และถือเป็นฮับสำคัญทางยุทธศาสตร์ ได้ถูกทำลายจนใช้การไม่ได้ ขณะที่เฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินรบของยูเครนจำนวนมากซึ่งถูกพบอยู่ในที่จอดรถหลายแห่งที่ถูกอำพรางเอาไว้ รวมทั้งคลังเชื้อเพลิงและคลังแสงอาวุธของอากาศยานก็ได้ถูกทำลาย”
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.indianpunchline.com/donbass-still-remains-key-battleground/ หรือที่เก็บความเป็นภาษาไทยแล้วคือเรื่อง ฝ่ายรัสเซียยืนยันว่า ‘ดอนบาสส์’ คือสมรภูมิสำคัญที่สุดของ ‘การปฏิบัติการพิเศษ’ ในยูเครน https://mgronline.com/around/detail/9650000032372)
เวลาใกล้เคียงกันนั้น เมืองคาร์คิฟ ก็ถูกโอบล้อม และ “ในการโจมตีด้วยความแม่นยำสูงโดยใช้ขีปนาวุธพื่อการปฏิบัติการทางยุทธวิธีแบบ “อิสคานเดอร์” ต่อกองบัญชาการป้องกันในเมืองคาร์คิฟ ในวันพฤหัสบดี (31 มี.ค.) “พวกชาตินิยมและพวกนักรบรับจ้างจากประเทศตะวันตกจำนวนกว่า 100 คน” ได้รับการยืนยันว่าถูกสังหาร”
กระนั้นก็ตาม เป็นที่คาดหมายกันว่ากองกำลังอาวุธของยูเครนจะพยายามสู้รบอย่างเต็มที่มากกว่าที่จะยอมแพ้ ถึงแม้ถูกล้อมเอาไว้แล้ว และปราศจากการคุ้มกันทางอากาศ รวมทั้งไม่มีช่องทางใดๆ สำหรับการหมุนเวียนกำลัง หรือมีเชื้อเพลิงเพียงพอที่จะเข้าสู้รบในการสงครามแบบเคลื่อนที่ มิหนำซ้ำเครื่องกระสุนก็กำลังร่อยหรอลงเรื่อยๆ
แน่นอนทีเดียวว่า การสู้รบขนาดใหญ่กำลังขยับใกล้เข้ามาแล้ว เป็นการสู้รบซึ่งจะมีผลในทางตัดสินชี้ขาดมากที่สุดสำหรับการปฏิบัติการพิเศษของรัสเซียทั้งหมดเท่าที่ดำเนินมาจนถึงเวลานี้ เรื่องที่จะต้องทำความเข้าใจให้ดีก็คือว่า พื้นที่กาต้มน้ำนี้ ยังเป็นพื้นที่ซึ่งมีชุมชนของประชากรชาวชาติพันธุ์รัสเซีย (รวมทั้งผู้ที่ถือพาสปอร์ตรัสเซีย) พำนักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และการรุกซึ่งจะเกิดขึ้นจึงจะเป็นการดำเนินการแบบค่อยๆ โม่บดอย่างอดทนเป็นเวลายาวนานเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พลเรือนเกิดการบาดเจ็บล้มตายหรือเกิดการทำลายโครงร้างพื้นฐานของฝ่ายพลเรือน
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ระยะที่สองนี้อาจจะกินเวลานานถึง 1 เดือน หรือกว่านั้นจึงจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ อย่าได้เข้าใจผิดไป อย่างไรเสีย ฝ่ายรัสเซียก็ต้องเป็นผู้ชนะในคราวนี้อยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ที่พวกเขายังจะทำลายส่วนสำคัญที่สุดของกองทัพยูเครนให้ยับเยินไปด้วย ไม่ว่า (ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์) เซเลนสกี (ของยูเครน) จะแผดเสียงร้องป่าวอย่างไรก็ตามที เคียฟจะได้ตระหนักถึงความเป็นจริงเกี่ยวกับความใหญ่โตมโหฬารของความพ่ายแพ้คราวนี้ รวมทั้งพวกพี่เลี้ยงฝ่ายตะวันตกของเขาก็จะเกิดความรับรู้ขึ้นมาว่ากำลังจะเจอกับสิ่งเลวร้ายในอีกไม่ช้าไม่นาน
(ดูเพิ่มเติมความมั่นอกมั่นใจของฝ่ายรัสเซียได้ที่ https://tass.com/politics/1431627)
แน่นอนอยู่แล้วว่า ตลอดประมาณ 1 เดือนจากนี้ไป ยุทธศาสตร์ของฝ่ายตะวันตกจะต้องเป็นการผลิตข่าวปลอมออกมาอย่างไม่มีหยุดยั้ง ซึ่งเพิ่มความดุเดือดเข้มข้นให้แก่สงครามชิงชัยด้านข้อมูลข่าวสาร กระทั่งอาจจะมีการจัดฉากสร้างการปฏิบัติการปลอมๆ เพื่อมุ่งป้ายสีฝ่ายตรงข้ามขึ้นมา ภายใต้การกำกับดูแลของพวกมือปฏิบัติการด้านข่าวกรองของโลกตะวันตก
ฉากทัศน์อย่างเลวร้ายที่สุดอย่างหนึ่งที่ขบคิดกันในขณะนี้ก็คือ บางทีเคียฟอาจจะกระทั่งหงายไพ่ใบสุดท้ายของตน ซึ่งก็คือการใช้อาวุธเคมี รัสเซียนั้นได้มีการป่าวประกาศสถานที่ต่างๆ ซึ่งยูเครนเก็บรักษาอาวุธเคมีเอาไว้ ขณะเดียวกันก็เป็นที่รู้กันว่าสหรัฐฯ มีการจัดส่งพวกอุปกรณ์ช่วยเหลือพิเศษทางการทหารที่ใช้รับมือกับอาวุธเคมี (อย่างเช่น หน้ากากป้องกันไอพิษ, เสื้อผ้าชุดป้องกันสารเคมีพิษ) รวมทั้งมีการจัดฝึกอบรมพิเศษในเรื่องวิธีการป้องกันสำหรับกลุ่มชนขนาดใหญ่
ความกระตือรือร้นในการบริโภคข่าวปลอมอย่างที่ มาครง และชอลซ์ แสดงออกมาให้เห็น คือลางบอกเหตุของระยะใหม่ในสงครามข้อมูลข่าวสารนี้ กล่าวโดยสรุปก็คือว่า มีความตื่นรู้อย่างขึงขังจริงจังขึ้นมาแล้วในปารีสและเบอร์ลินว่า การปฏิบัติการของรัสเซียกำลังประสบความสำเร็จในการบรรลุถึงวัตถุประสงค์ต่างๆ ที่กำหนดเอาไว้
ทีเอส เอเลียต (TS Eliot) เขียนเอาไว้ใน The Wasteland งานระดับมาสเตอร์พีซของเขาว่า “เมษายนเป็นเดือนที่โหดร้ายที่สุด ดังนี้ : “April is the cruellest month, breeding Lilacs out of the dead land, mixing Memory and desire, stirring Dull roots with spring rain.” แต่สำหรับ “ความเป็นเดือนเมษายน” (Aprilness) ในปีนี้ ความย้อนแย้งอันดำมืดกำลังจะกลายเป็นว่า การผลิดอกออกผลใหม่ๆ และการกลับฟื้นชีพขึ้นมาอย่างสร้างสรรค์มากหลาย จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเจริญงอกงามขึ้นมาใหม่ของรัสเซีย ทั้งในโลกแห่งประวัติศาสตร์และโลกมายาภาพซึ่งวางไข่ฟูมฟักขึ้นมา โดยความคิดจิตใจที่อยู่ในสภาพถูกกักกันคุมขังเอาไว้ของฝ่ายตะวันตก
(ทีเอส เอเลียต ได้รับยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกวีคนสำคัญของคริสต์ศตวรรษที่ 20 เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี 1948 ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/T._S._Eliot)
เอ็ม. เค. ภัทรกุมาร เคยรับราชการเป็นนักการทูตอาชีพในกระทรวงการต่างประเทศอินเดียเป็นเวลากว่า 29 ปี ในตำแหน่งต่างๆ เป็นต้นว่า เอกอัครราชทูตอินเดียประจำอุซเบกิสถาน (ปี 1995-1998) และเอกอัครราชทูตอินเดียประจำตุรกี (ปี 1998-2001) ปัจจุบันเขาเขียนอยู่ในบล็อก “อินเดียน พันช์ไลน์” (Indian Punchline)
ข้อเขียนชิ้นนี้มาจากบล็อก “อินเดียน พันช์ไลน์” (Indian Punchline) ดูต้นฉบับภาษาอังกฤษได้ที่ https://www.indianpunchline.com/fake-news-in-kiev-heralds-cruel-april/