รัสเซียแถลงว่าจะลดระดับการสู้รบรอบๆ กรุงเคียฟและเมืองใหญ่อีกแห่งหนึ่งทางภาคเหนือของยูเครน ภายหลังการเจรจาระหว่างฝ่ายมอสโกและฝ่ายเคียฟในวันอังคาร (29 มี.ค.) มีความคืบหน้า กระทั่งก่อให้เกิดความเป็นไปได้ที่จะมีการพบปะหารือกันระหว่างประธานาธิบดีของรัสเซียและยูเครน
ผลของการพูดจากันแบบพบหน้าพบตากันโดยตรง ซึ่งจัดขึ้นที่วังเก่าแห่งหนึ่งในนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี คราวนี้ ทำให้เกิดความหวังกันว่าจะมีหนทางคลี่คลายการสู้รบขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ดำเนินมากว่า 1 เดือน จนมีผู้เสียชีวิตไปเป็นพันๆ คน และผู้คนหลายล้านต้องกลายเป็นคนพลัดถิ่น
ภายหลังการเจรจา ดาวิด อาราคาเมีย ผู้เจรจาของฝ่ายยูเครนแลงว่า มีเงื่อนไขต่างๆ “เพียงพอ” สำหรับที่จะให้ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย พบปะหารือกัน
อาราคาเมีย ยังเรียกร้องให้จัดตั้ง “กลไกระหว่างประเทศในการรับประกันความมั่นคง ซึ่งพวกประเทศผู้รับประกันจะทำหน้าที่ในลักษณะคล้ายๆ กับที่ระบุเอาไว้ในมาตรา 5 ของกฎบัตรจัดตั้งองค์การนาโต้ และกระทั่งจะมีความมั่นคงมากกว่าด้วย”
ด้านรัฐมนตรีช่วยว่าการกลาโหมของรัสเซีย อเล็กซานเดอร์ ฟอมิน แถลงว่ามีความก้าวหน้าในการเจรจาว่าด้วย “ความเป็นกลางและสถานะการไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ของยูเครน”
ดังนั้น “จึงมีการตัดสินใจที่จะลดกิจกรรมทางทหารลงอย่างมากมาย ในระดับหลายเท่าตัว” ในพื้นที่รอบๆ เมืองหลวงเคียฟ และที่เมืองเชอร์นิกิฟ ทางภาคเหนือของยูเครน เขากล่าว
ขณะที่หัวหน้าผู้เจรจาของฝ่ายรัสเซีย วลาดิมีร เมดินสกี บอกว่ามี “การหารือกันอย่างมีความหมาย”
อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่า สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรแสดงความข้องใจสงสัยท่าทีของฝ่ายรัสเซียออกมาในทันที
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แอนโทนี บลิงเคน กล่าวว่า เขายังข้องใจเกี่ยวกับ “ความจริงจัง” ของรัสเซีย
“มีสิ่งที่รัสเซียพูด และมีสิ่งที่รัสเซียทำ เรากำลังโฟกัสที่เรื่องหลัง” เขากล่าวเช่นนี้ขณะแถลงข่าวที่โมร็อกโก และสำทับต่อไปว่า “สิ่งที่รัสเซียกำลังทำคือการสร้างความทารุณโหดร้ายอย่างต่อเนื่องแก่ยูเครนและแก่ประชาชนของยูเครน และเรื่องเหล่านี้ยังคงดำเนินอยู่ขณะที่เราพูดกันอยู่นี้”
ขณะที่ผู้ทำหน้าที่โฆษกให้แก่นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ของสหราชอาณาจักร แถลงว่า “เราจะวินิจฉัยตัดสินปูตินและระบอบปกครองของตนด้วยการกระทำของเขา ไม่ใช่ด้วยคำพูดของเขา”
ในตอนเริ่มต้นการเจรจาที่อิสตันบูลครั้งนี้ บรรยากาศไม่สู้สดใสนัก ประธานาธิดีไตยิป แอร์โดอัน ของตุรกี ผู้เป็นเจ้าบ้านกล่าวต้อนรับตัวแทนจากทั้งสองประเทศ โดยบอกว่า การยุติโศกนาฏกรรมนี้ขึ้นอยู่กับทั้งสองฝ่าย
ทว่า สถานีทีวีของยูเครนรายงานว่า การหารือเริ่มต้นด้วยความเย็นชาและไม่มีการจับมือกัน
ดมิโทร คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศของยูเครน กล่าวถึงการเจรจาในตุรกีว่า เคียฟจะไม่ยอมนำประชาชน ดินแดน หรืออธิปไตยไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งใดๆ และเสริมว่า เป้าหมายขั้นต่ำคือการผ่อนคลายสถานการณ์ด้านมนุษยธรรม และสูงสุดคือการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง
ทั้งยูเครนและอเมริกาต่างบอกว่าตั้งความหวังกับการเจรจานี้น้อยมาก กระนั้น การฟื้นการเจรจาแบบพบหน้ากันโดยตรงอีกครั้ง หลังพูดจาผ่านวิดีโอลิงก์มาหลายนัด ยังคงถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจนำไปสู่การหยุดยิง
ขณะที่เจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการต่างประเทศของอเมริกา กล่าวว่า ประธานาธิบดีปูติน ไม่ได้แสดงท่าทีพร้อมประนีประนอมเพื่อยุติสงคราม
สำหรับ ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกเครมลิน กล่าวว่า แม้การเจรจาไร้ความคืบหน้าเป็นรูปธรรม แต่สิ่งสำคัญคือการที่ทั้งสองฝ่ายยังคงได้หารือแบบพบปะเห็นหน้าเห็นตากันจริงๆ
การเจรจาในเมืองอิสตันบูล ของตุรกี ครั้งนี้ ยังเกิดขึ้นหลังจากสื่อวอลล์สตรีทเจอร์นัลของอเมริการายงานว่า โรมัน อับราโมวิช มหาเศรษฐีรัสเซียที่ได้ชื่อว่าเป็นคนใกล้ชิดกับปูติน รวมทั้งถูกตะวันตกแซงก์ชัน แต่เวลานี้ได้รับการร้องขอจากฝ่ายเคียฟให้มาช่วยเหลือในการเจรจากับมอสโก ตลอดจนเจ้าหน้าที่อื่นๆ ในคณะเจรจาของยูเครน ถูกวางยาพิษระหว่างหารือครั้งหนึ่งที่กรุงเคียฟเมื่อต้นเดือนนี้ โดยมีอาการ เช่น ตาแดง แสบตา น้ำตาไหลไม่หยุด และผิวลอกบนใบหน้าและมือ แต่ต่อมาอาการเหล่านั้นก็หายไป
อย่างไรก็ตาม ในคืนวันจันทร์ ทางเจ้าหน้าที่ในคณะเจรจาของยูเครน ออกมาเรียกร้องประชาชนอย่าเชื่อ “ข้อมูลที่ยังไม่ผ่านการตรวจสอบ” ขณะที่รอยเตอร์อ้างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ผู้หนึ่งที่ไม่ประสงค์ออกนามระบุว่า ข่าวกรองบ่งชี้ว่าเป็นไปได้สูงที่เรื่องนี้สืบเนื่องจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่ถูกวางยาพิษ
ทั้งนี้ จากภาพถ่ายที่สำนักประธานาธิบดีตุรกีเผยแพร่ อับราโมวิช ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกในฐานะเจ้าของสโมสรฟุตบอล “เชลซี” ที่แข่งขันอยู่ในระดับพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ ได้เข้าร่วมการเจรจาที่อิสตันบูลในวันอังคารด้วย
สำหรับสถานการณ์การสู้รบ จากสัญญาณเตือนภัยการโจมตีทางอากาศที่ดังระงมทั่วยูเครนในวันอังคาร พวกสื่อตะวันตกบอกว่า ดูเหมือนรัสเซียกำลังใช้การโจมตีระยะไกลมากขึ้น โดยมุ่งโจมตีพวกเป้าหมายซึ่งอยู่ไกลกว่าแนวรบเพื่อตัดเส้นทางลำเลียงเสบียงของยูเครน ขณะกระทรวงกลาโหมรัสเซียอ้างว่า ได้โจมตีคลังเชื้อเพลิงใหญ่ในเขตริฟเน่ทางตะวันตกของยูเครนเมื่อคืนวันจันทร์ (28)
เวลาเดียวกัน ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันอังคารว่า ได้ยินเสียงปืนใหญ่แถวชานเมืองเออร์พิน ซึ่งเป็นเส้นทางเข้าสู่เคียฟจากทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ หลังจากเมื่อวันจันทร์กองกำลังยูเครนอ้างว่า สามารถชิงเมืองดังกล่าวคืนจากรัสเซียได้แล้ว ขณะที่ชาวเมืองเออร์พินคนหนึ่งที่ขี่จักรยานไปรับเสบียงที่เคียฟ ประเมินว่า พื้นที่ 70-80% ของเมืองได้รับการปลดปล่อยแล้ว แต่กองกำลังรัสเซียยังยึดแถบชานเมืองได้อยู่
ด้าน แกนนา มัลยาร์ รัฐมนตรีช่วยกลาโหมยูเครน ยืนยันว่า การยึดเคียฟยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญของมอสโก และสำทับว่า รัสเซียพยายามตัดเส้นทางอพยพรอบเคียฟและปิดกั้นเส้นทางขนส่ง โดยเมื่อวันจันทร์รัสเซียได้โจมตีใกล้เคียฟและทำให้ประชาชนกว่า 80,000 คนไม่มีไฟฟ้าใช้ ตอกย้ำสถานการณ์อันตรายที่เมืองหลวงของยูเครนกำลังเผชิญอยู่
ในวันอังคาร ยูเครนยังประกาศกลับมาอพยพพลเรือนออกจากหลายพื้นที่ในทางภาคใต้ของประเทศ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซีย หลังจากสั่งระงับไปเมื่อวันจันทร์โดยอ้างว่าหวาดกลัวว่า รัสเซียจะ “ยั่วยุ” ตลอดเส้นทางการอพยพ
นอกจากนั้น ถึงแม้ดูเหมือนกองกำลังยูเครนได้โจมตีตอบโต้รัสเซียบริเวณทางด้านเหนือ แต่ยังคงไม่สามารถเข้าควบคุมเมืองมาริอูโปลที่ตกอยู่ในวงล้อมของมอสโกและถูกปูพรมถล่ม ซึ่งฝ่ายยูเครนบอกว่าทำให้พลเรือนที่ติดค้างอยู่ราว 160,000 คนในสภาพขาดแคลนน้ำ อาหาร และยา ขณะที่เจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งของยูเครนอ้างจากการประเมินว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5,000 คน หรืออาจถึงเกือบ 10,000 คนในมาริอูโปล
เวลาเดียวกัน ไอรีนา เวเนดิกโตวา อัยการใหญ่ยูเครน เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ว่า มีหลักฐานพิสูจน์ว่า รัสเซียใช้ระเบิดลูกปรายที่เป็นอาวุธต้องห้าม ทั้งในโอเดสซาและเคอร์ซอนที่อยู่ทางใต้ของยูเครน
(ที่มา : เอเอฟพี, เอพี, รอยเตอร์)