เซเลนสกีพร้อมถกทุกประเด็นกับปูตินหวังสงบศึก ทัพยูเครนคาดรัสเซียระดมโจมตีโครงสร้างพื้นฐาน

เซเลนสกีลั่นยอมเจรจาทุกประเด็น ไม่เว้นแม้แต่ดินแดนในดอนบาสส์ที่แยกตัวออกไปและไครเมีย ถ้าปูตินตกลงคุยด้วยเพื่อยุติสงคราม แต่ไม่วายพ่วงเงื่อนไขว่า จะต้องทำประชามติถ้ามีการเปลี่ยนแปลง “ครั้งประวัติศาสตร์” พร้อมกันนี้ กองทัพยูเครนยังเตือนว่า รัสเซียอาจเดินหน้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้วยอาวุธที่มีความแม่นยำสูงและระเบิดที่ก่อให้เกิดผลโดยไม่จำกัดเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เพนตากอนระบุมอสโกเพิ่มปฏิบัติการทั้งทางอากาศและทะเล

แม้สงครามในยูเครนผ่านมาเกือบเดือน แต่การเจรจาระหว่างสองฝ่ายยังมีความคืบหน้าน้อยมาก และประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ยังคงเร่งเร้าขอเปิดเจรจาโดยตรงกับวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย

วันจันทร์ (21 มี.ค.) ผู้นำเคียฟยืนยันว่า พร้อมพบกับปูตินในทุกรูปแบบเพื่อยุติสงคราม และพร้อมหารือคำถามทุกข้อ แม้แต่ประเด็นดินแดนในการยึดครองของรัสเซียอย่างไครเมียและ 2 เขตในดอนบาสที่แยกตัวเป็นรัฐอิสระ ซึ่งเขายังเชื่อว่า จำเป็นต้องคืนกลับเป็นของยูเครนก็ตาม

อย่างไรก็ดี เซเลนสกีสำทับว่า ข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง “ครั้งประวัติศาสตร์” จะต้องเปิดให้ประชาชนยูเครนลงประชามติ

เขายังย้ำว่า เคียฟเข้าใจแล้วว่าไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) ได้ กระนั้น ยูเครนจะไม่ยอมส่งมอบเมืองหลวง เมืองคาร์คีฟทางตะวันออก หรือเมืองมาริอูโปลทางใต้ที่ถูกถล่มหนักและปิดล้อมมานานให้แก่รัสเซียง่ายๆ ยกเว้นแต่ยูเครนจะถูกทำลายยับเยินเท่านั้น

เคียฟประกาศเคอร์ฟิว

เคียฟเริ่มบังคับใช้คำสั่งเคอร์ฟิว 35 ชั่วโมงเริ่มตั้งแต่เวลา 20.00 น.วันจันทร์ หลังจากรัสเซียโจมตีศูนย์การค้าเรโทรวิลล์และทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 คน ทว่า รัสเซียอ้างว่า ศูนย์การค้าดังกล่าวปิดกิจการไปแล้วและยูเครนใช้เป็นที่เก็บระบบจรวดและกระสุน

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่กลาโหมอาวุโสของสหรัฐฯ คนหนึ่งเผยว่า มอสโกเพิ่มปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเป็น 300 เที่ยวในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา เพื่อพยายามจัดการการต้านทานของยูเครน

นอกจากนั้น ในวันอังคาร (22) กองทัพบกยูเครนยังออกคำแถลงเตือนว่า กองกำลังรัสเซียอาจเดินหน้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้วยอาวุธที่มีความแม่นยำสูงและระเบิดที่ก่อให้เกิดผลโดยไม่จำกัดเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เมืองมาริอูโปลเป็นเป้าหมายการโจมตีสำคัญของรัสเซียและเสียหายอย่างหนัก โดยเมื่อวันจันทร์ ยูเครนปฏิเสธเส้นตายของรัสเซียให้มาริอูโปลยอมวางอาวุธแลกกับการเปิดทางให้พลเรือนอพยพ

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า มอสโกระดมถล่มคาร์คีฟซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของยูเครน รวมถึงเมืองซูมี และเชอร์นิฮีฟทางตะวันออก

รองนายกรัฐมนตรียูเครนเผยว่า ในวันจันทร์ประชาชนราว 8,000 คนสามารถหนีออกมาจากเมืองที่ถูกปิดล้อม ซึ่งรวมถึงพลเรือน 3,000 คนจากมาริอูโปล

อย่างไรก็ดี ผู้ว่าการเขตซาโปริเซียเผยว่า รถบัสที่อพยพพลเรือนจากพื้นที่สงครามถูกรัสเซียยิงถล่มเมื่อวันจันทร์ทำให้เด็กได้รับบาดเจ็บ 4 คน

ความขัดแย้งในยูเครนส่งผลให้ประชาชนเกือบ 1 ใน 4 จากทั้งหมด 44 ล้านคนของยูเครนต้องทิ้งบ้าน และเยอรมนีระบุว่า ตัวเลขอาจเพิ่มเป็น 10 ล้านคนในไม่กี่สัปดาห์นี้

ด้าน โจเซฟ บอร์เรลล์ ประธานฝ่ายนโยบายการต่างประเทศของสหภาพยุโรป ประณามว่า การปิดล้อมและโจมตีเมืองมาริอูโปลของรัสเซียเป็น “อาชญากรรมสงครามขนาดใหญ่” ซึ่งกดดันให้นานาชาติต้องเพิ่มมาตรการจัดการกับมอสโก

ขณะเดียวกัน ทำเนียบขาวเผยว่า ปลายสัปดาห์นี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของอเมริกา จะเดินทางไปยุโรปเพื่อประชุมสุดยอดกับผู้นำอียู นาโต้ และจี7 เกี่ยวกับการยกระดับมาตรการแซงก์ชันรัสเซียเพิ่มเติมจากมาตรการลงโทษทางการเงินแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่ประกาศออกไปแล้ว

ทั้งนี้ คาดว่าประเทศตะวันตกและพันธมิตรจะพยายามประสานแนวทางลงโทษรัสเซียให้เป็นเอกภาพมากขึ้น แม้ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการดำเนินมาตรการเพิ่มเติมใดๆ ขณะที่ที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอียูเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาไม่สามารถตกลงกันได้ว่าจะเพิ่มมาตรการแซงก์ชันน้ำมันและก๊าซรัสเซียหรือไม่และอย่างไร โดยเยอรมนีระบุว่า อียูพึ่งพิงน้ำมันและก๊าซรัสเซียเกินกว่าจะคว่ำบาตรได้

วันเดียวกันนั้น ดมิทรี เพสคอฟ โฆษกเครมลิน เตือนว่า การคว่ำบาตรน้ำมันและก๊าซรัสเซียจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อตลาดพลังงานโลกที่ขณะนี้ราคาน้ำมันแพงลิบอยู่แล้ว โดยล่าสุดน้ำมันดิบชนิดเบรนต์ขยับขึ้น 1.7% อยู่ที่ 117.59 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงเช้าวันอังคาร

เครมลินยังเตือนว่า ความสัมพันธ์กับวอชิงตัน “ใกล้แตกหัก” หลังจากไบเดนตราหน้าปูตินเป็น “อาชญากรสงคราม”

(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)