xs
xsm
sm
md
lg

โลกระอุอีกด้าน! อิหร่านยันทำเองยิงขีปนาวุธใส่เมืองอิรัก อ้างเล็งเป้าถล่มศูนย์ยุทธศาสตร์อิสราเอล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อิหร่านออกมาอ้างความรับผิดชอบสำหรับเหตุยิงขีปนาวุธโจมตี ใกล้สถานกงสุลสหรัฐฯ ในเมืองเออร์บิล ทางภาคเหนือของอิรัก เมื่อวันอาทิตย์ (13 มี.ค) โดยอ้างเล็งเป้าหมายไปที่ศูนย์ยุทธศาสตร์แห่งหนึ่งของอิสราเอล และเตือนว่าอาจลงมือโจมตีอีก

อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าหน้าที่เคิร์ดยืนยันว่ารัฐยิวไม่มีที่ตั้งทั้งในหรือใกล้ๆ เมืองเออร์บิล เมืองเอกของเขตกึ่งปกครองตนเองทางภาคเหนือของอิรัก ส่วนในแบกแดด กระทรวงการต่างประเทศอิรัก ประณามการโจมตีดังกล่าวว่า "ละเมิดอำนาจอธิปไตยของอิรักอย่างโจ่งแจ้ง"

อิรักเรียกเอกอัครราชทูตอิหร่านเข้าพบ เพื่อประท้วงเหตุโจมตีดังกล่าว ซึ่งก่อความสูญเสียทางวัตถุ และสร้างความเสียหายแก่สถานประกอบการพลเรือนและบ้านเรือนประชาชน

เจ้าหน้าที่ทางภาคเหนือของอิรัก ระบุว่าขีปนาวุธแบบทิ้งตัว 12 ลูก ตกใส่เมืองเออร์บิล ราวกับห่าฝน ในการโจมตีช่วงรุ่งสาง ซึ่งส่งผลให้มีพลเรือนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 2 ราย

กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติแห่งอิหร่าน ยืนยันว่าพวกเขาเป็นคนยิงจรวดเหล่านั้น โดยบอกว่าการโจมตีเล็งเป้าหมายไปยังที่ตั้งต่างๆ ที่ใช้งานโดยอิสราเอล พันธมิตรลำดับต้นๆ ของสหรัฐฯ

ถ้อยแถลงของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติแห่งอิหร่านระบุว่า "ศูนย์ยุทธศาสตร์แห่งหนึ่งสำหรับสมคบคิดและประสงค์ร้ายของพวกไซออนิสต์ เป็นเป้าหมายของขีปนาวุธที่ทรงพลังและแม่นยำของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติแห่งอิหร่าน"

ยังไม่มีปฏิกิริยามาจากอิสราเอล ส่วน เนด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า "ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดของสหรัฐฯ ได้รับความเสียหายหรือมีบุคลากรได้รับบาดเจ็บ เราไม่พบสิ่งบ่งชี้ว่ามันเป็นการโจมตีโดยตรงใส่สหรัฐฯ"

อิหร่านถูกมองว่ามีอิทธิพลเหนือรัฐบาลกลางในแบกแดด ขณะเดียวกัน อิรักเองก็เป็นเจ้าบ้านของกองกำลังทหารสหรัฐฯ ที่นำพันธมิตรต่อสู้กับกลุ่มญิฮาดรัฐอิสลาม (ไอเอส) แม้ว่าเวลานี้ได้ปรับลดกำลังพลลงอย่างมากแล้วก็ตาม

ไพรซ์ ประณามการโจมตีครั้งนี้ว่า "ละเมิดอำนาจอธิปไตยของอิรัก" พร้อมระบุว่าสหรัฐฯ "จะช่วยเหลือพันธมิตรของเราในภูมิภาค ในการป้องกันตนเอง"

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อหลายวันก่อน อิหร่านประกาศว่าจะแก้แค้นอิสราเอลที่โจมตีใกล้กรุงดามัสกัสของซีเรีย จนทำให้สมาชิกกองกำลังปฏิวัติของอิหร่านเสียชีวิต 2 คน

กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติแห่งอิหร่าน กล่าวในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ในวันอาทิตย์ (13 มี.ค.) ว่า "อีกครั้ง เราขอเตือนรัฐบาลอาชญากรไซออนิสต์ ว่าการก่อกวนซ้ำใดๆ จะเผชิญกับการตอบโต้หนักหน่วงรุนแรง เด็ดเดี่ยวและทำลายล้าง"

อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าราชการเออร์บิล ปฏิเสธความคิดที่ว่าอิสราเอลมีที่ตั้งทั้งใน และรอบๆ เมืองเออร์บิล ว่า "ไม่มีมูลความจริง" และยืนยันว่าไม่มีที่ตั้งใดๆ ของอิสราเอลในภูมิภาคแถบนี้

เหตุการณ์นี้ยังเกิดขึ้นขณะที่สถานการณ์ในตะวันออกกลางตึงเครียดอย่างหนัก โดยการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่านหยุดชะงัก จากการที่รัสเซียยื่นข้อเรียกร้องเกี่ยวกับการที่นานาชาติคว่ำบาตร กรณีสงครามยูเครน ขณะเดียวกัน อิหร่านระงับการเจรจาลับเพื่อลดความขัดแย้งกับซาอุดีอาระเบียที่มีอิรักเป็นตัวกลาง หลังจากริยาดประหารชีวิตนักโทษครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งรวมถึงชาวชีอะห์กว่า 30 คน

ผู้บัญชาการกองกำลังอเมริกันในตะวันออกกลางเตือนหลายครั้งเกี่ยวกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากการโจมตีของอิหร่านและกองกำลังที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านต่อกองทัพอเมริกันและพันธมิตรในอิรักและซีเรีย

เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา พล.อ.แฟรงก์ แม็กคินซี จากหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอพีว่า แม้กองกำลังอเมริกันในอิรักเปลี่ยนไปรับบทบาทที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบ แต่อิหร่านและกองกำลังตัวแทนยังคงต้องการให้อเมริกาถอนทหารออกจากอิรัก ซึ่งอาจส่งผลให้มีการโจมตีมากขึ้น

ที่ผ่านมา กองกำลังอเมริกันที่ประจำการอยู่ในพื้นที่สนามบินของเออร์บิลถูกโจมตีด้วยจรวดและโดรนหลายครั้ง และเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เชื่อว่า เป็นฝีมือกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน

ความตึงเครียดระหว่างวอชิงตันกับเตหะรานลุกลาม หลังจากอเมริกาส่งโดรนโจมตีใกล้สนามบินแบกแดดในเดือนมกราคม 2020 เป็นเหตุให้นายทหารใหญ่อิหร่านคนหนึ่งเสียชีวิต ซึ่งเตหะรานตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธใส่ฐานทัพอากาศอัล-อาซาด ที่ทหารอเมริกันประจำการอยู่ และทหารอเมริกันกว่า 100 นายได้รับบาดเจ็บ

นอกจากนั้น เมื่อเร็วๆ นี้ยังเชื่อกันว่ากลุ่มที่เป็นตัวแทนของอิหร่านอยู่เบื้องหลังความพยายามลอบสังหารนายกรัฐมนตรีมุสตาฟา อัล-คาดิมี ของอิรักเมื่อปลายปีที่แล้ว

เจ้าหน้าที่หลายคนยังเชื่อว่า อิหร่านอยู่เบื้องหลังการโจมตีด้วยโดรนต่อที่ตั้งทางทหารทางใต้ของซีเรียที่ทหารอเมริกันประจำการอยู่ แม้ไม่มีทหารอเมริกันเสียชีวิตหรือบาดเจ็บก็ตาม

(ที่มา : เอเอฟพี/รอยเตอร์)


กำลังโหลดความคิดเห็น