xs
xsm
sm
md
lg

เดนมาร์กบอกลามาตรการสกัดโควิด WHO ติงอย่ารีบฉลองชัย ไวรัสยังไม่สิ้นฤทธิ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


บรรยากาศที่ตลาดปลาในย่านทอร์เวฮัลเลอร์น ในกรุงโคเปนเฮเกน ของเดนมาร์ก เมื่อวันอังคาร (1 ก.พ.) ซึ่งเป็นวันแรกที่เดนมาร์กยกเลิกการบังคับให้สวมหน้ากากป้องกันเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ
เดนมาร์กบอกลาหน้ากากอนามัยและใบรับรองสุขภาพ กลายเป็นชาติแรกในอียูที่ยกเลิกมาตรการสกัดไวรัสทั้งหมด ด้านนอร์เวย์และฝรั่งเศสเดินตามแม้ยังไม่ถึงกับทิ้งยกเข่ง ขณะที่ WHO เตือนยังเร็วเกินไปที่จะประกาศชัยชนะเหนือโควิด หรือยอมแพ้ยุติความพยายามในการสกัดการแพร่ระบาด เนื่องจากไวรัสตัวนี้ยังอันตรายมากและมีวิวัฒนาการตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น บีเอ.2 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนที่ระบาดง่ายกว่าและขณะนี้พบใน 57 ประเทศทั่วโลก

หลังจากเคยพยายามมาแล้วครั้งหนึ่งในการยกเลิกข้อจำกัดที่ใช้ต่อสู้กับโควิด-19 ตอนระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายนปีที่แล้ว ในที่สุด เมื่อวันอังคาร (1 ก.พ.) เดนมาร์กก็กลายเป็นประเทศแรกในสหภาพยุโรป (อียู) ที่ยกเลิกมาตรการสกัดไวรัสเกือบทั้งหมด เหลือไว้เพียง 2-3 ข้อ ซึ่งสำหรับรับมือกับพวกนักเดินทางจากนอกกลุ่มประเทศข้อตกลงเชงเก้นที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนเท่านั้น

นับจากวันอังคาร เดนมาร์กจะไม่มีการบังคับสวมหน้ากากป้องกัน หรือการกำหนดให้ต้องแสดงใบรับรองการฉีดวัคซีนหรือผลการตรวจโรคจึงจะเข้าไปในสถานที่บางแห่งได้ ถึงแม้เจ้าหน้าที่ยังแนะนำว่า ทั้ง 2 มาตรการนี้ยังจำเป็นสำหรับผู้ที่ไปโรงพยาบาลก็ตาม นอกจากนี้ เดนมาร์กยังยกเลิกการจำกัดเวลาเปิดให้บริการของร้านอาหารและบาร์

ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นขณะที่เดนมาร์กมีผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละราว 40,000-50,000 คน หรือเกือบ 1% ของประชากร 2.8 ล้านคน โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเชื่อว่า ตัวเลขนี้จะลดลงอย่างรวดเร็ว

เวลาเดียวกัน มีชาวเดนมาร์กกว่า 60% ที่ฉีดวัคซีนเข็ม 3 แล้ว เทียบกับค่าเฉลี่ยในอียูที่ต่ำกว่า 45% เจ้าหน้าที่ระบุว่า เมื่อรวมกับผู้ที่เคยติดโควิดมาก่อนทำให้ประเมินได้ว่า ขณะนี้ประชาชน 80% มีภูมิคุ้มกันการป่วยรุนแรงจากโควิดแล้ว

ทางด้านนอร์เวย์ ออกประกาศในวันอังคารเช่นกัน ยกเลิกข้อจำกัดส่วนใหญ่ที่ใช้ควบคุมโรคระบาด เช่น การทำงานจากที่บ้าน และการจำกัดจำนวนสมาชิกที่จะไปเยี่ยมครอบครัว รวมทั้งการเข้าชมการแข่งขันกีฬา และการจำกัดการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารและบาร์ เนื่องจากเชื่อว่า ถึงเวลาที่ประชาชนควรปรับตัวอยู่ร่วมกับโควิด

อย่างไรก็ดี ทางการนอร์เวย์ยังบังคับให้สวมหน้ากากป้องกันในสถานที่หลายแห่ง เช่น ระบบขนส่งสาธารณะและร้านค้าที่ไม่สามารถปฏิบัติตามกฎการเว้นระยะห่างทางสังคม

นอกจากนั้น ยังมีฝรั่งเศส ที่ในวันพุธเริ่มยกเลิกข้อจำกัดป้องกันโควิดเช่นกัน ซึ่งรวมถึงการบังคับสวมหน้ากากป้องกันเมื่ออยู่นอกอาคาร การจำกัดจำนวนคนในการเข้าชมคอนเสิร์ต การแข่งขันกีฬา และกิจกรรมอื่นๆ แม้ยังแนะนำให้ทำงานจากที่บ้านก็ตาม นอกจากนั้น ไนต์คลับจะเปิดให้บริการอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 16 รวมทั้งอนุญาตให้ดื่มกินในสนามกีฬา โรงภาพยนตร์ ระบบขนส่งสาธารณะ

ความเคลื่อนไหวเหล่านี้เกิดขึ้นขณะที่เทดรอส แอดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาเตือนเมื่อวันอังคารว่า เร็วเกินไปที่จะประกาศชัยชนะเหนือโควิด หรือยอมยกธงขาวยุติความพยายามในการสกัดการแพร่ระบาด เนื่องจากไวรัสตัวนี้อันตรายมากและมีวิวัฒนาการตลอดเวลา

เทดรอส กล่าวว่า WHO กำลังกังวลกับการที่บางประเทศคิดว่า การป้องกันการระบาดกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรือไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เนื่องจากความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน และการที่ตัวกลายพันธุ์โอมิครอนมีความสามารถในการแพร่ระบาดสูงทว่าก่อให้เกิดอาการที่ไม่รุนแรง

ผู้อำนวยการ WHO ย้ำว่า ถึงอย่างไรการระบาดที่เพิ่มขึ้นยังคงหมายถึงจำนวนผู้เสียชีวิตที่จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย พร้อมอ้างอิงว่า นับจากพบโอมิครอนครั้งแรกในแอฟริกาใต้เมื่อ 10 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั่วโลกมีผู้ติดโควิดสูงขึ้นถึงเกือบ 90 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดในปี 2020 และขณะนี้ภูมิภาคส่วนใหญ่กำลังจะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี ไมเคิล ไรอัน ผู้อำนวยการแผนกฉุกเฉินของ WHO ยอมรับว่า ในบางประเทศที่มีระบบสาธารณสุขเข้มแข็งและมีการฉีดวัคซีนอย่างแพร่หลาย อาจเริ่มยกเลิกข้อจำกัดบางอย่างได้ แต่ต้องมั่นใจว่า เมื่อถึงคราวจำเป็น เช่น จำนวนผู้ติดเชื้อกลับมาพุ่งทะยานหรือพบไวรัสตัวกลายพันธุ์ที่อันตรายขึ้น ทางการจะยังสามารถงัดมาตรการจำกัดกลับมาบังคับใช้ใหม่โดยที่ประชาชนให้การยอมรับอย่างรวดเร็ว

เวลาเดียวกัน เทดรอสย้ำความจำเป็นในการติดตามไวรัสกลายพันธุ์ ซึ่งรวมถึง บีเอ.2 ที่เป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน โดยขณะนี้ตรวจพบใน 57 ประเทศทั่วโลก

มาเรีย ฟาน เคอร์โคฟ หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเกี่ยวกับโควิดของ WHO ระบุว่า ขณะนี้ยังมีข้อมูลจำกัดเกี่ยวกับสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน แต่ข้อมูลเบื้องต้นบางส่วนชี้ว่า บีเอ.2 สามารถแพร่ระบาดได้มากกว่าโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม

ผู้เชี่ยวชาญของ WHO ย้ำว่า โควิดไม่ว่าสายพันธุ์ใดยังถือเป็นโรคที่อันตราย และประชาชนควรป้องกันตัวเองไม่ให้ติดเชื้อ

(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)


กำลังโหลดความคิดเห็น