ราคาน้ำมันขยับขึ้นในวันจันทร์ (31 ม.ค.) ทำสถิติเป็นเดือนที่ปิดบวกมากที่สุดในรอบปี จากปัญหาอุปทานขาดแคลนและความกังวลทางภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลาง ส่วนวอลล์สตรีทและทองคำปรับขึ้นเช่นกัน
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้น 1.33 ดอลลาร์ ปิดที่ 88.15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้น 1.18 ดอลลาร์ ปิดที่ 91.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับบรรดาผู้ผลิตน้ำมันหลักทั้งหลาย ทั้งรัสเซียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หนักหน่วงขึ้นในเดือนมกราคม
ขณะเดียวกัน พวกนักวิเคราะห์และแหล่งข่าวของรอยเตอร์คาดหมายอย่างกว้างว่าที่ประชุมโอเปกฟลัส ซึ่งประกอบด้วยโอเปกและพันธมิตรที่นำโดยรัสเซีย ในวันพุธ (2 ก.พ.) จะมีมติคงนโยบายปรับเพิ่มกำลังผลิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นอย่างมากแล้วก็ตาม
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันจันทร์ (31 ม.ค.) ปิดบวกส่งท้ายเดือนแห่งความผันผวน การดีดตัวขึ้นในช่วงท้ายช่วยให้ดัชนีแนสแดค รอดพ้นจากการทำสถิติเเป็นเดือนแรกของปีที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 406.39 จุด (1.17 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 35,131.86 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 83.70 จุด (1.89 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,515.55 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 469.31 จุด (3.41 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 14,239.88 จุด
มูลค่าหุ้นในกลุ่มที่มีการเติบโตสูงและกลุ่มเทคโนโลยีอยู่ภายใต้การพินิจพิเคราะห์มากยิ่งขึ้น นักลงทุนเกรงว่าบริษัทต่างๆ กำลังซื้อขายในมูลค่าที่สูงเกินจริง ในช่วงเวลาที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เตรียมเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อและถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงโรคระบาดใหญ่
ส่วนราคาทองคำปรับขึ้นในวันจันทร์ (31 ม.ค.) แต่ตลอดทั้งเดือนนั้นขยับลง โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้น 9.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,796.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์
(ที่มา : รอยเตอร์)