ปีฉลู 2021 ที่กำลังปิดฉากลงเต็มไปด้วยเหตุการณ์อึกทึกครึกโครม ไล่ตั้งแต่โรคระบาดใหญ่โควิด-19 ที่ยังไม่จบ ไปจนถึงเรื่องตอลิบานกลับยึดอัฟกานิสถานได้อีกคำรบหนึ่ง แล้วยังมีเรื่องสภาพอากาศสุดเลวร้ายรุนแรง ไปจนถึงความขัดแย้งระหว่างฝ่ายตะวันตกกับจีนและรัสเซีย ตลอดจนการบุกยึดรัฐสภาอย่างเหลือเชื่อในประเทศที่ถูกถือเป็นหนึ่งในต้นแบบประชาธิปไตยอย่างสหรัฐอเมริกา
เรามาทบทวนถึงเหตุการณ์สำคัญๆ ของปี 2021 กัน
- โควิดยังไม่ยอมจากไป -
ผู้คนในโลกกว่า 5 ล้านคนเสียชีวิตไปแล้วเพราะไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ถึงแม้มีการฉีดวัคซีนป้องกันไปแล้วมากกว่า 8,500 ล้านเข็ม ปัญหาใหญ่ก็คือ พวกประเทศยากจนยังคงได้รับจัดสรรวัคซีนกันน้อยมาก ท่ามกลางคำเตือนที่ว่าในสถานการณ์ที่ผู้คนจำนวนมหาศาลไม่ได้รับการเสริมภูมิคุ้มกันเช่นนี้ ก็ยังมีโอกาสที่ไวรัสนี้จะกลายพันธุ์อีกและระบาดกันต่อไปอีก
เวลานี้พรมแดนประเทศต่างๆ ค่อยๆ เปิดขึ้นใหม่อีกครั้ง พร้อมๆ การปรับยุทธศาสตร์การต่อสู้จาก “โควิดต้องเป็นศูนย์” มาเป็น “ต้องอยู่ร่วมกับโควิด” กระทั่งกีฬาโอลิมปิกก็จัดขึ้นในกรุงโตเกียวโดยล่าช้ากว่ากำหนดเดิมไป 1 ปี ทว่าต้องแข่งขันกันต่อหน้าอัฒจันทร์ผู้ชมที่แทบว่างเปล่า
อย่างไรก็ดี ในช่วงท้ายของปี โลกได้เห็นโรคระบาดใหญ่นี้กลับพุ่งพรวดขึ้นมาใหม่ ขณะที่ตัวกลายพันธุ์ “โอมิครอน” ซึ่งมีความสามารถในการแพร่เชื้อสูงยิ่ง ระบาดกระจายออกไปในอัตรารวดเร็วอย่างชนิดไม่เคยปรากฏมาก่อน
เนื่องจากภูมิคุ้มกันของวัคซีนซึ่งฉีดกันไปก่อนหน้านี้กำลังคลายฤทธิ์ลง หลายชาติพัฒนาแล้ว และประเทศที่ยังพอมีกำลังก็พยายามตอบโต้กับไวรัสด้วยการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ตลอดจนหวนกลับมาใช้มาตรการจำกัดเข้มงวดต่างๆ กันใหม่
- สหรัฐฯ เกิดเหตุม็อบบุกยึดรัฐสภา -
เมื่อวันที่ 6 มกราคม พวกผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ หลายร้อยคนยกกำลังฝ่าแถวเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปภายในอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นที่ตั้งอย่างเป็นรูปธรรมของระบอบประชาธิปไตยอเมริกัน เพื่อพยายามสกัดกั้นกระบวนการรับรองอย่างเป็นทางการ ว่า โจ ไบเดน คือผู้ชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเหนือ ทรัมป์ ซึ่งจัดขึ้นตั้งแต่เมื่อ 2 เดือนก่อนหน้านั้น
ไบเดนสาบานตัวเข้าเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ในอีก 2 สัปดาห์ต่อมา โดยที่ ทรัมป์ ปฏิเสธไม่ยอมเข้าร่วมในพิธีสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งของคู่แข่งของเขา
ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ทรัมป์ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกไต่สวนเพื่อถอดถอนจากตำแหน่ง (อิมพีช) เป็นครั้งที่ 2 พ้นความผิดในข้อหายุยงให้เกิดการก่อกบฏยึดอาคารรัฐสภาไปได้ แต่หลังจากที่พวก ส.ว.พรรครีพับลิกันในวุฒิสภาตัดสินใจลงคะแนนช่วยทรัมป์แบบไม่มีการแตกแถว
- ปีแห่งการก่อรัฐประหารยึดอำนาจ -
ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ อองซานซูจี ผู้นำในทางพฤตินัยของพม่าถูกจับกุม เมื่อคณะทหารของประเทศก่อการรัฐประหารยึดอำนาจ ซึ่งเป็นการยุติการทดลองใช้ระบอบประชาธิปไตยของประเทศที่ดำเนินมาได้ราว 1 ทศวรรษ
จากนั้นมาก็มีผู้คนถูกเข่นฆ่าไปกว่า 1,100 คน และอีกหลายพันคนถูกจับกุม ระหว่างการปราบปรามกวาดล้างอย่างรุนแรงเพื่อสยบการประท้วงของประชาชนที่ต่อต้านคัดค้านคณะปกครองทหาร
ซูจีถูกลงโทษจำคุก 2 ปีในเดือนธันวาคม ด้วยข้อหายุยงให้ประชาชนก่อความไม่สงบ และละเมิดกฎระเบียบเกี่ยวกับสุขภาพในช่วงโควิดระบาด นอกจากนั้น ยังถูกตั้งข้อหาอื่นๆ อีกซึ่งอาจทำให้เธอถูกจำคุกนานหลายสิบปี
ข้ามมาทางแอฟริกา เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.อ.อัสซิมิ กอยตา บุรุษเหล็กแห่งมาลี ดำเนินการยึดอำนาจ กลายเป็นการรัฐประหารครั้งที่ 2 ของประเทศในแอฟริกาตะวันตกแห่งนี้ในช่วงเวลา 10 เดือน
ส่วนที่ตูนิเซีย เมื่อเดือนกรกฎาคม ประธานาธิบดีก็อยส์ ซะอีด ประกาศเพิ่มอำนาจให้ตนเองอย่างกว้างขวาง
ด้านประธานาธิบดีอัลฟา คองเด ของกินี ถูกโค่นล้มจากการก่อรัฐประหารยึดอำนาจของฝ่ายทหารในวันที่ 5 กันยายน
และที่ซูดาน ในเดือนพฤศจิกายน ฝ่ายทหารยินยอมให้นายกรัฐมนตรีอับดุลเลาะห์ ฮัมดอค กลับขึ้นครองตำแหน่งอีกครั้ง ทว่ากองทัพก็เพิ่มการยึดครองอำนาจของตนให้เข้มแข็งขึ้นมาก ภายหลังก่อรัฐประหารเมื่อเดือนตุลาคม
- สงครามระหว่างฮามาสกับอิสราเอล -
ในวันที่ 3 พฤษภาคม สถานการณ์ความรุนแรงระหว่างอิสราเอลกับฝ่ายปาเลสไตน์ระเบิดขึ้นมา ภายหลังเกิดการปะทะกันในย่านชัยค์จาร์เราะห์ ของเยรูซาเลมตะวันออก ที่มีชนวนเหตุจากการที่ผู้อพยพตั้งถิ่นฐานชาวยิวพยายามดำเนินการมาเป็นแรมปีเพื่อเข้าครอบครองบ้านเรือนหลายหลังซึ่งชาวอาหรับปาเลสไตล์พักอาศัยอยู่
ความรุนแรงได้บานปลายออกไปยังพื้นที่มัสยิดอัลอักซอ และดินแดนเวสต์แบงก์ของปาเลสไตน์ซึ่งถูกอิสราเอลยึดครอง
หนึ่งสัปดาห์หลังเกิดการปะทะกันครั้งแรกๆ ฮามาส ที่เป็นขบวนการอิสลามิสต์ของชาวปาเลสไตน์ซึ่งปกครองดินแดนฉนวนกาซาอยู่ในเวลานี้ ได้ยิงจรวดจำนวนมากเข้าไปยังอิสราเอลต่อเนื่องกันหลายวัน โดยฝ่ายรัฐยิวตอบโต้เอาคืนแบบคิดดอกเบี้ยสาหัส นำไปสู่สงครามที่กินเวลา 11 วัน โดยที่ฝ่ายปาเลสไตน์เสียชีวิตไป 260 คน และฝ่ายอิสราเอลตายไป 13 คน
วันที่ 13 มิถุนายน อิสราเอลได้รัฐบาลใหม่นำโดยนายกรัฐมนตรี นัฟตาลี เบนเนตต์ ผู้มีแนวคิดแข็งกร้าว ยุติการปกครองยาวนาน 12 ปีของเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้มีแนวทางแข็งกร้าวเช่นกัน
- กลุ่มตอลิบานกลับคืนสู่อำนาจ -
กองกำลังอาวุธของกลุ่มตอลิบานเคลื่อนเข้าสู่กรุงคาบูล ในวันที่ 15 สิงหาคม ภายหลังเปิดการรุกใหญ่แบบสายฟ้าแลบ หลังกองทหารสหรัฐฯ และกองทหารนาโต้ถอนตัวออกไป เป็นการยึดอำนาจปกครองอัฟกานิสถานกลับคืน ภายหลังถูกกลุ่มพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ ขับไล่ออกจากคาบูลมา 20 ปี
มีเจ้าหน้าที่การทูต ชาวต่างประเทศ และชาวอัฟกันรวมประมาณอย่างน้อย 123,000 คน รีบขึ้นเครื่องบินหลบหนีออกไป จนกลายเป็นความโกลาหลอลหม่านครั้งใหญ่
ทหารต่างชาติที่ยังเหลืออยู่กลุ่มสุดท้าย ถอนตัวออกไปในวันที่ 30 สิงหาคม เป็นหลักหมายแสดงถึงการสิ้นสุดแห่งสงครามครั้งยาวนานที่สุดที่สหรัฐฯ ได้เคยเข้าร่วม
- ยุโรปเผชิญการถูกเขย่าสั่นคลอนอย่างแรง -
สหราชอาณาจักร ซึ่งถอนตัวตัดขาดจากการเข้าร่วมเป็นตลาดหนึ่งเดียวของสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม เผชิญปัญหาติดขัดของสินค้าที่ส่งมาจากต่างประเทศ ทำให้ชั้นวางตามร้านรวงต่างๆ ว่างเปล่า รวมทั้งยังเกิดวิกฤตขาดแคลนพลังงาน สืบเนื่องจากขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะคนขับรถบรรทุก
“เบร็กซิต” ยังก่อให้เกิดความตึงเครียดระหว่างฝ่ายต่างๆ ในไอร์แลนด์เหนือ เช่นเดียวกับระหว่างสหราชอาณาจักรกับพวกชาติเพื่อนบ้านโดยเฉพาะฝรั่งเศส ในเรื่องการจับปลา และการจัดการกับผู้อพยพ
ที่เยอรมนี อังเกลา แมร์เคิล ก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เธอครองมาถึง 16 ปี โดยที่ โอลาฟ โชลซ์ ผู้นำพรรคโซเชียลเดโมแครต ประสบความสำเร็จในการจับมือเป็นพันธมิตรกับพรรคกรีนส์ และฝ่ายเสรีนิยม และขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อจากเธอในวันที่ 8 ธันวาคม
ส่วนที่โปแลนด์ คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม กลายเป็นปัญหาใหญ่ เนื่องจากระบุว่ากฎหมายของสหภาพยุโรปสามารถนำมาใช้ได้เฉพาะภายในปริมณฑลเฉพาะส่วนที่ประเทศโปแลนด์กำหนดขึ้นเท่านั้น การตีความเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับของชาติสมาชิกอียูรายอื่นๆ
- เหตุการณ์ดินฟ้าอากาศแปรปรวนสุดขั้ว -
พวกผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติพูดเอาไว้นานแล้วว่า สิ่งที่ประเทศต่างๆ ตกลงเอาไว้ตามข้อตกลงปารีสนั้นยังไม่สามารถหยุดยั้งไม่ให้อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้นเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียสได้ และการปล่อยให้ปัญหาโลกร้อนยืดเยื้อออกไปเรื่อยๆ อาจก่อให้เกิดผลต่อเนื่องอย่างยาวนานและแก้ไขไม่ได้เป็นเวลาหลายร้อยปี
ปรากฏว่าในปี 2021 เกิดเหตุการณ์ดินฟ้าอากาศผันผวนสุดขั้วเพิ่มมากขึ้นตลอดทั่วโลก ตั้งแต่ภัยน้ำท่วมที่สร้างภัยพิบัติกว้างขวางในเยอรมนีและเบลเยียม ไปจนถึงภัยไฟป่าที่รุนแรงและเผาผลาญอย่างยาวนานทั้งในสหรัฐฯ รัสเซีย ตุรกี กรีซ สเปน และแอลจีเรีย
ปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า “โดมความร้อน” (heat dome) เมื่อเดือนมิถุนายน ในภาคตะวันตกของแคนาดาและภาคตะวันตกของสหรัฐฯ คร่าชีวิตผู้คนไปหลายร้อยคน
เมื่อเดือนพฤศจิกายน การประชุมซัมมิตแก้ปัญหาโลกร้อน COP26 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองกลาสโกว์ ให้คำมั่นที่จะเร่งรัดการต่อสู้เพื่อขัดขวางการเพิ่มสูงของอุณหภูมิ ทว่าคำมั่นสัญญาต่างๆ ที่นานาชาติให้กันไว้ยังคงขาดเขินห่างจากสิ่งที่พวกนักวิทยาศาสตร์ระบุว่าจำเป็นต้องทำ หากจะควบคุมไม่ให้โลกร้อนขึ้นอย่างน่ากลัวอันตราย
ในเดือนธันวาคม เกิดพายุหมุน “ทอร์นาโด” หลายสิบลูกพัดอาละวาดไปใน 6 รัฐของสหรัฐฯ สังหารชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 88 ราย
- เดินหน้าก้าวใหญ่ในเรื่องภาษี -
ในเดือนตุลาคม เหล่าผู้นำของกลุ่มจี20 มีมติรับรองข้อตกลงระดับโลกครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งมีเนื้อหากำหนดให้จัดเก็บภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำที่สุด 15%
เวลานี้มีประมาณ 136 ประเทศซึ่งเป็นตัวแทนของจีดีพีกว่า 90% ของโลก ลงนามในข้อตกลงฉบับนี้ที่มีองค์การโออีซีดีเป็นคนกลาง และมุ่งหมายให้จัดเก็บภาษีจากพวกบริษัทนานาชาติด้วยความเป็นธรรมมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่อินเทอร์เน็ตสัญชาติสหรัฐฯ อย่างเช่น กูเกิล แอมะซอน เฟซบุ๊ก และแอปเปิล ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการไปตั้งฐานอยู่ตามประเทศที่จัดเก็บภาษีอัตราต่ำ คือเป้าหมายอันโดดเด่นเป็นพิเศษ ของการจัดระเบียบใหม่ทั่วโลกครั้งนี้
- ภาวะเงินเฟ้อหวนกลับมาอีกครั้ง -
ในภาวะที่ห่วงโซ่อุปทานสะดุดติดขัด และวัตถุดิบสำคัญขาดไม่ได้อย่างเช่นเซมิคอนดักเตอร์เกิดการขาดแคลนทั่วโลก เหล่านี้ขับดันให้ราคาผู้บริโภค ซึ่งก็คือภาวะเงินเฟ้อ--ขึ้นสูงในปี 2021
อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ พุ่งพรวด 6.8% ในเดือนพฤศจิกายน กลายเป็นการทะยานขึ้น (เมื่อคำนวณกันเป็นรายปี) ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 39 ปีทีเดียว ส่วนอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนก็ไต่ขึ้นไป 4.9% สู่ระดับสูงที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษ โดยถูกผลักดันจากราคาพลังงานที่ขยับขึ้นเรื่อยๆ
- การเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน -
เมื่อเผชิญกับการที่เครื่องบินรบของจีนจำนวนมากบินเข้าไปพื้นที่ซึ่งไต้หวันประกาศเป็นเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศ ไบเดนก็แถลงเตือนว่าวอชิงตันคัดค้านอย่างแข็งขันต่อความเคลื่อนไหวทั้งหลายซึ่ง “บ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน”
ด้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน กล่าวเตือนไบเดนระหว่างการพูดจากันทางวิดีโอคอลล์เมื่อเดือนพฤศจิกายนว่า การส่งเสริมสนับสนุนให้ไต้หวันแยกตัวเป็นเอกราช ก็คือ “การเล่นกับไฟ” ที่จะต้องถูกไฟไหม้มือ
ตอนต้นเดือนธันวาคม สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร ประกาศบอยคอตต์ไม่ส่งเจ้าหน้าที่ไปร่วมมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ปักกิ่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 โดยกล่าวหาว่าเพราะจีนกระทำการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะต่อชนกลุ่มน้อยชาวอุยกูร์ในแคว้นซินเจียง ทว่าไม่ได้ห้ามการส่งนักกีฬาไปร่วมการแข่งขัน
ทางด้านจีนซึ่งปฏิเสธเสียงแข็งต่อข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชน ตอบโต้ว่าไม่ได้เชื้อเชิญเจ้าหน้าที่ของประเทศนี้อยู่แล้ว ขณะเดียวกัน หลายชาติตะวันตก เป็นต้นว่า ฝรั่งเศส และสหภาพยุโรปก็ไม่ได้เข้าร่วมการคว่ำบาตรนี้
- การเผชิญหน้า “รัสเซีย-ตะวันตก” เรื่องยูเครน -
ประธานาธิบดีสหรัฐฯเตือนปูตินในเดือนธันวาคมว่า มอสโกจะเผชิญการถูกแซงก์ชันทางเศรษฐกิจชุดใหญ่แบบไม่เคยมีมาก่อน หากกองทหารรัสเซียนับแสนที่ชุมนุมอยู่บริเวณชายแดนติดยูเครน เปิดฉากรุกเข้าไป ทางด้าน อียู และนาโต้ ก็เตือนว่า หากรัสเซียบุกจะเกิด “ผลต่อเนื่องอย่างมโหฬาร”
ด้านปูตินเรียกร้องการค้ำประกันจากสหรัฐฯ และฝ่ายตะวันตกว่า นาโต้จะต้องไม่ขยายไปทางตะวันออกต่อไปอีก ซึ่งก็ดูจะหมายถึงไม่ให้รับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกนาโต้ รวมทั้งฝ่ายตะวันตกจะต้องไม่ติดตั้งอาวุธเพื่อการโจมตีในประเทศซึ่งอยู่ติดกับรัสเซีย
(ที่มา : เอเอฟพี, เอเจนซีส์)