กลุ่มคนที่มีปัญหาทางสุขภาพบางอย่างที่ทำให้คนเหล่านั้นมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอปานกลางถึงรุนแรง อาจจำเป็นต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 mRNA เข็มที่ 4 ตามรายงานของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น อ้างถึงกรอบแนวทางปฏิบัติอัพเดทล่าสุดของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ(ซีดีซี)
ซีดีซีอนุมัติฉีดวัคซีนเข็ม 3 บุคคลอายุ 18 ปีขึ้นไปที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอเมื่อเดือนสิงหาคม ระบุว่ามันมีความจำเป็นเพราะบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแออาจไม่ตอบสนองทางภูมิคุ้มกันโดยสมบูรณ์จากการฉีดวัคซีน 2 เข็มแรก
ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮ็อปกินส์ เมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา พบว่าบุคคลภูมิคุ้มกันอ่อนแอที่ฉีดวัคซีนแล้ว มีโอกาสติดเชื้ออาการหนักเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตมากกว่าคนทั่วไปที่ฉีดวัคซีนแล้วถึง 485 เท่า
ขณะเดียวกันข้อมูลของซีดีซีเผยว่าบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอที่ฉีดวัคซีนครบเข็มแล้ว คิดเป็นถึง 44% ของเคสติดเชื้อหลังฉีดวัคซีน(breakthrough cases)ที่อาการหนักถึงขั้นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล นอกจากนี้แล้วบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอยังมีความเป็นไปได้มากกว่าที่จะแพร่เชื้อไวรัสสู่คนอื่นๆที่สัมผัสใกล้ชิดกับพวกเขา
สำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯก็อนุมัติเช่นกันให้ฉีดเข็มกระตุ้นวัคซีนที่มีทั้ง 3 ตัว สำหรับบุคคลบางกลุ่ม ในนั้นรวมถึงกลุ่มบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ผลวิจัยพบว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นช่วยเพิ่มการตอบสนองของแอนติบอดีในกลุ่มคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
กรอบแนวทางปฏิบัติล่าสุดของซีดีซี เป็นการเปิดทางสำหรับฉีดเข็ม 4 อย่างน้อย 6 เดือนหลังฉีดวัคซีน mRNA ครบ 3 เข็มแล้ว อย่างไรก็ตามคราวนี้ทางซีดีซียังไม่ได้ออกเป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการฉีดเข็ม 4 ดังนั้นประชาชนแต่ละคนควรปรึกษาแพทย์ส่วนตัวเพื่อตัดสินใจว่าการฉีดเข็ม 4 มีความจำเป็นหรือไม่
บุคคลที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอปานกลางหรือรุนแรง ในนั้นรวมถึงบุคคลที่อยู่ระหว่างรักษาโรคมะเร็ง ทั้งมะเร็งระบบเลือดหรือเนื้องอกต่างๆ บุคคลที่ปลูกถ่ายอวัยวะบางอย่างและปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ บุคคลผู้ป่วยโรคเอดส์ที่มีอาการความรุนแรงระดับ advance และบุคคลที่ใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ปริมาณมากหรือยาอื่นๆที่อาจกดระบบภูมิคุ้มกันของพวกเขา
ซีดีซีคาดหมายว่ามีประชาชนชาว 9 ล้านคนที่พำนักอยู่ในสหรัฐฯ หรือคิดเป็น 2% ของจำนวนประชากร ที่อยู่ในข่ายอาจต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็ม 4
แม้หากฉีดวัคซีนแล้ว ซีดีซีแนะนำว่าบุคคลที่มีอาการต่างๆที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ยังควรต้องหลีกเลี่ยงสถานที่ชุมนุมชนและพื้นที่ที่มีระบบระบายอากาศย่ำแย่ และควรสวมหน้ากากยามอยู่ในสถานที่สาธารณะในร่ม
(ที่มา:ซีเอ็นเอ็น)