จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหราชอาณาจักรเมื่อวันอังคาร (26 ต.ค.) สูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมีนาคม ขณะเดียวกัน ที่ปรึกษาระดับสูงของรัฐบาลยอมรับว่าเริ่มมีการพูดคุยเกี่ยวกับ "แผนซี" กันไปบ้างแล้ว ในกรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดเลวร้ายลงไปกว่านี้
รัฐบาลสหราชอาณาจักร รายงานพบผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มอีก 263 คน สูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม ซึ่งเป็นช่วงท้ายของการแพร่ระบาดระลอก 2 โดยในวันนั้นพบผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 315 ราย
ตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้นับตั้งแต่โรคระบาดใหญ่เริ่มต้นขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ยอดผู้เสียชีวิตสะสมของสหราชอาณาจักรเพิ่มเป็น 139,834 ราย จากผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 8,850,000 คน
ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ระดับอาวุโสคนหนึ่งของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีจอห์นสัน ยอมรับว่า ได้มีการพูดคุยกันเกี่ยวกับข้อจำกัดต่างๆ ที่เรียกว่า "แผนซี" กันแล้ว ในกรณีสถานการณ์การแพร่ระบาดเลวร้ายลงไปกว่านี้
ศาสตราจารย์ลูซี แชปเปลล์ หัวหน้าที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ของกระทรวงสาธารณสุขและสังคมสงเคราะห์ เปิดเผยกับคณะกรรมาธิการรัฐสภาชุดหนึ่ง ว่า มีข้อเสนอมาตรการเพิ่มเติมที่เกินไปกว่าแผนบี
ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ยืนกรานปฏิเสธใช้แผนบี แม้มีเสียงเรียกร้องจากบรรดาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้ตัดวงจรการแพร่ระบาดจากการสัมผัสใกล้ชิด ซึ่งก่อความกังวลว่าจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาจทำให้ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลต่างๆ ในขณะที่สถานพยาบาลทั้งหลายต้องรับมือกับผู้ป่วยโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ในช่วงหลายเดือนของฤดูหนาวเช่นกัน
คณะรัฐมนตรีปฏิเสธรายงานข่าวที่ว่ารัฐบาลกำลังเตรียมการมาตรการต่างๆ อย่างเช่น ห้ามบุคคลต่างครอบครัวอยู่ร่วมกันในอังกฤษในช่วงฤดูหนาวปีนี้ หากว่าเคสผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เอกสารหลุดของกระทรวงการคลัง พบว่ามาตรการสกัดโควิด-19 ต่างๆ อาจก่อความเสียหายแก่เศรษฐกิจสูงสุด 18,000 ล้านปอนด์ในช่วงเวลาแค่ 5 เดือน อย่างไรก็ตามฝ่ายเห็นต่างกล่าวหารัฐบาลว่าพยายามบ่อนทำลาย "แผนบี" ของตนเอง ด้วยการปล่อยเอกสารเกี่ยวกับต้นทุนทางเศรษฐกิจหลุดถึงมือสื่อมวลชน
รัฐบาลลังเลที่จะบังคับใช้มาตรการเข้มงวดต่างๆ ขณะที่นักการเมืองฝ่ายค้านกล่าวหาการปล่อยเอกสารหลุดดังกล่าวมีเป้าหมายเตะถ่วงมาตรการที่มีความสำคัญยิ่งในการต่อสู้กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
การแพร่ระบาดระลอกปัจจุบันเกิดขึ้นแม้ว่าสหราชอาณาจักรมีอัตราการฉีดวัคซีนในระดับสูง และเวลานี้พวกเขากำลังพยายามผลักดันคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีนเข้ารับวัคซีน และเร่งเร้ากลุ่มคนอายุ 50 ปีขึ้นไป และกลุ่มคนอ่อนแอทางคลินิก เข้าฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น
จากข้อมูลของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ประเทศที่มีประชากรราวๆ 67.2 ล้านคน พบว่ามีประชากรฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว 49.7 ล้านคน ฉีดครบ 2 เข็ม 45.5 ล้านคน และได้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่ประชาชนไปแล้ว 6.4 ล้านคน
(ที่มา : รอยเตอร์/สกายนิวส์)