สถานการณ์โควิด-19 ระบาดในอังกฤษน่าเป็นห่วง หลังรัฐบาลนายกฯ “บอริส จอห์นสัน” เดินหน้าเปิดประเทศ โดยมีเคสผู้ป่วยใหม่ทะลุหลัก 40,000 คน 7 วันต่อเนื่องกัน จนเหล่าผู้นำด้านสาธารณสุขอังกฤษกระทุ้งรัฐบาลบังคับใช้ “แผนบี” หรือยุทธศาสตร์สำรองทันทีเพื่อป้องกันประเทศจมดิ่งสู่ “วิกฤตฤดูหนาว” ทว่ารัฐบาลบอกแค่ว่าจับตาดูใกล้ชิดแล้ว ขณะเดียวกันในสหรัฐฯมีการคาดหมายว่า คนจำนวนมากอาจตกงาน เมื่อรัฐ เมือง และบริษัทเอกชนมากมายเริ่มบังคับให้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด
ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใหม่ในอังกฤษเมื่อวันอังคาร (19 ต.ค.) อยู่ที่ 43,738 คน นับเป็นวันที่ 7 ติดต่อกันที่ตัวเลขสูงกว่า 40,000 คน ขณะที่มีผู้เสียชีวิต 223 คน สูงสุดนับจากเดือนมีนาคม
จำนวนเคสใหม่เฉลี่ยในรอบ 7 วันเพิ่มขึ้นจากวันละราว 34,000 คนเมื่อต้นเดือน เป็น 44,145 คนในขณะนี้ ส่วนจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น 10% ภายในสัปดาห์เดียว จาก 7,039 คนเมื่อวันที่ 11 เป็น 7,749 คนในวันจันทร์ (18)
เวลานี้รัฐบาลอังกฤษสั่งรับมือโควิด-19ในช่วงฤดูหนาวด้วย “แผนเอ” ซึ่งครอบคลุมการจัดเตรียมวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ประชาชนราว 30 ล้านคน และวัคซีนเข็มเดียวสำหรับเยาวชนสุขภาพดีอายุ 12-15 ปี รวมทั้งแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากในที่ที่มีคนแออัด
โดยหากมาตรการเหล่านี้ไม่เพียงพอในการป้องกันไม่ให้เกิด “ความกดดันชนิดไม่สามารถรองรับได้” แก่สมาพันธ์องค์การด้านสุขภาพแห่งชาติ (เอ็นเอชเอส คอนเฟเดอเรชัน) ซึ่งเป็นตัวแทนบรรดาผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขของรัฐแล้ว รัฐบาลจะดำเนินการขั้นตอนอื่นๆ หรือ “แผนบี” เพิ่มเติม เช่น บังคับสวมหน้ากากอนามัยในบางสถานที่ ขอให้ประชาชนทำงานอยู่ที่บ้าน และอาจพิจารณาใช้วัคซีนพาสปอร์ต
แต่ แมทธิว เทย์เลอร์ ประธานเอ็นเอชเอส คอนเฟเดอเรชัน ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลบังคับใช้มาตรการพิเศษเหล่านี้ทันที เพื่อป้องกันไม่ให้คนไข้ล้นโรงพยาบาล และหลีกเลี่ยง “วิกฤตฤดูหนาว”
เทย์เลอร์สำทับว่า คณะรัฐมนตรีไม่ควรรอให้จำนวนผู้ติดเชื้อและความกดดันต่อเอ็นเอชเอสพุ่งเป็นกระสวยอวกาศ จึงจะได้ยินสัญญาณเตือนภัยความตื่นตระหนก
เอ็นเอชเอสยังเรียกร้องให้เพิ่มมาตรการสนับสนุนบุคลากรด่านหน้าที่เรียกว่า “แผนบี+” ที่อาจรวมถึงการสนับสนุนให้ประชาชนฉีดวัคซีน การไปพบแพทย์ต้องมีการนัดหมาย และแม้กระทั่งการระดมอาสาสมัครเข้าสนับสนุนเอ็นเอชเอส
การเรียกร้องของเอ็นเอชเอสมีขึ้นหลังจากเมื่อวันอังคาร นายกรัฐมนตรีจอห์นสัน แถลงต่อคณะรัฐมนตรีว่า สหราชอาณาจักรกำลังเผชิญ “ฤดูหนาวอันยากลำบาก”
กระนั้น โฆษกนายกรัฐมนตรีระบุว่า รัฐบาลยังไม่คิดใช้แผนบี แต่เฝ้าจับตาจำนวนผู้ติดเชื้ออย่างใกล้ชิด และว่าข้อความสำคัญที่สุดที่ประชาชนควรรับรู้คือ โครงการวัคซีนเข็มกระตุ้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง และเด็กอายุ 12-15 ปีควรฉีดวัคซีน
ขณะที่แผนการรับมือของอังกฤษอิงกับความสมัครใจเป็นหลัก แต่ที่อเมริกากำลังมีการคาดหมายกันว่า คนจำนวนมากอาจตกงาน เมื่อรัฐ เมือง และบริษัทเอกชนมากมายเริ่มบังคับฉีดวัคซีนป้องกันโควิด
ตัวอย่างล่าสุดคือ มหาวิทยาลัยรัฐวอชิงตัน สั่งปลดหัวหน้าโค้ชทีมฟุตบอลพร้อมผู้ช่วย 4 คนเมื่อวันจันทร์ เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดการฉีดวัคซีน
ตำรวจและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงหลายพันคนในชิคาโกและบัลติมอร์ ก็เสี่ยงตกงานเร็วๆ นี้เช่นเดียวกัน หลังเจอคำสั่งให้รายงานสถานะการฉีดวัคซีนหรือผลการตรวจหาเชื้อโควิดเป็นประจำ
ถึงแม้มีกระแสต่อต้าน แต่คำสั่งนี้ช่วยโน้มน้าวให้พนักงานจำนวนมากที่ลังเลยอมฉีดวัคซีนป้องกันโควิดที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในอเมริกาแล้วกว่า 700,000 คน
เจฟฟ์ ไซเอนต์ส ผู้ประสานงานการรับมือโควิดของทำเนียบขาวเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ชาวอเมริกันที่มีคุณสมบัติได้รับวัคซีนประมาณ 77% ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม
ที่ชิคาโก ลอรี ไลต์ฟูต นายกเทศมนตรี กำลังงัดข้อกับสหภาพตำรวจที่คัดค้านการบังคับฉีดวัคซีน ทั้งนี้ ราว 1 ใน 3 ของตำรวจ 12,770 นายในเมืองนี้ไม่ได้รายงานสถานะการฉีดวัคซีนตามเส้นตายเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (15) และตำรวจบางคนถูกขึ้นสถานะไม่ได้รับเงินเดือน
การประกาศข้อกำหนดในการฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางของทำเนียบขาวเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยหนักและผู้เสียชีวิตจากไวรัสสายพันธุ์เดลตา เป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นแผนบังคับฉีดวัคซีน และตามมาด้วยการประท้วงในบางแห่ง
วันศุกร์ที่ผ่านมา พนักงานโบอิ้งราว 200 คน ประท้วงที่บริษัทกำหนดให้พนักงาน 125,000 คนต้องฉีดวัคซีนภายในวันที่ 8 ธันวาคม ภายใต้คำสั่งบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ครอบคลุมถึงผู้ทำสัญญารับจ้างรับเหมากับรัฐบาลกลาง
คำสั่งของไบเดนที่มีผลบังคับใช้ทั้งลูกจ้างรัฐและพนักงานของผู้ทำสัญญารับจ้างรับเหมา จะครอบคลุมประชาชนราว 100 ล้านคน หรือ 2 ใน 3 ของแรงงานทั้งหมดของอเมริกา
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา (17) ส.ว.ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา แสดงความกังวลว่า สำนักงานความปลอดภัยในการเดินทางอาจขาดแคลนเจ้าหน้าที่ในช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปี เนื่องจากขณะนี้เจ้าหน้าที่ 40% ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน
(บีบีซี, รอยเตอร์, เอเอฟพี)