สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ที่ควบคุมโดยพรรคเดโมแครต เห็นชอบขั้นสุดท้ายในวันอังคาร (12 ต.ค.) ร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาลเป็นการชั่วคราวเป็น 28.9 ล้านล้านดอลลาร์ ผลักเส้นตายผิดนัดชำระหนี้ไปจนถึงแค่เดือนธันวาคม
พรรคเดโมแครต ซึ่งครองเสียงข้างมากแบบปริ่มน้ำในสภาผู้แทนราษฎร ยกมืออย่างมีวินัย ผ่านร่างกฎหมายเพิ่มเพนดานหนี้อีก 480,000 ล้านดอลลาร์ โดยผลการลงคะแนนเป็นไปตามกรอบของพรรค สมาชิกทุกคนของเดโมแครตโหวตสนับสนุน ส่วนสมาชิกพรรครีพับลิกันไม่ยกมือสนับสนุนแม้แต่เสียงเดียว
คาดหมายว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายก่อนวันที่ 18 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่ทางกระทรวงการคลังสหรัฐฯ คาดหมายว่าทางกระทรวงจะไม่สามารถจ่ายหนี้ของประเทศหากปราศจากการดำเนินการใดๆ ของสภาคองเกรส
ร่างกฎหมายที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร ช่วยปัดเป่าความกังวลว่า สหรัฐฯ ชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกจะเข้าสู่การผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งแรก แต่ด้วยที่เป็นการขยายเพดานหนี้เพียงชั่วคราว การต่อสู้ระหว่าง 2 พรรคจึงจะดำเนินต่อไป
"เราหลีกเลี่ยงวิกฤตได้ชั่วคราวก่อนหน้าเส้นตายสัปดาห์หน้า แต่เมื่อเดือนธันวาคมมาถึง สมาชิกสภาคองเกรสจะจำเป็นต้องเลือกวางประเทศอยู่เหนือพรรค และป้องกันผิดนัดชำระหนี้" ริชาร์ด นีล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากเดโมแครต กล่าว
ฝ่ายรีพับลิกันยืนยันว่าพรรคเดโมแครตต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการเพิ่มเพดานหนี้แต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะว่าพรรคของพวกเขาต้องการใช้จ่ายเงินหลายล้านล้านดอลลาร์ เพื่อขยายโปรแกรมต่างๆ ทางสังคมและต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (climate change)
อย่างไรก็ตาม ทางเดโมแครตระบุว่าการเพิ่มอำนาจในการก่อหนี้เป็นสิ่งจำเป็น โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นการชดเชยต้นทุนของมาตรการลดหย่อนภาษีและโครงการใช้จ่ายต่างๆ ในสมัยรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากรีพับลิกัน ซึ่งสมาชิกสภาคองเกรสของรีพับลิกันต่างให้การสนับสนุน
มิตช์ แม็คคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน เตือนประธานาธิบดีโจ ไบเดนในวันศุกร์ (8 ต.ค.) ว่าเขาจะไม่ร่วมมือกับเดโมแครตหากมีการขอปรับเพิ่มเพดานหนี้อีกครั้ง "ผมจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามใดๆ ในอนาคต สำหรับบรรเทาผลลัพธ์จากการบริหารที่ผิดพลาดของเดโมแครต" พร้อมระบุว่า ร่างใช้จ่ายอันมหาศาลอีกฉบับจะกลายเป็นการทำร้ายอเมริกันชนและช่วยเหลือจีน
ทั้งนี้ สมาชิกสภาคองเกรสมีเวลาจจนถึงแค่วันที่ 3 ธันวาคม สำหรับผ่านกฎหมายงบประมาณและหลีกเลี่ยงภาวะชัตดาวน์
(ที่มา : รอยเตอร์)